Bluebik มอง Covid-19 เร่งธุรกิจเปิดรับการผสานเทคโนโลยีหลายประเภท (Technology Convergence)
บลูบิค (Bluebik) เผย สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องเปิดรับการผสมผสานเทคโนโลยีหลายประเภท (Technology Convergence) เข้ามาปรับใช้กับองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับเทคโนโลยีเดิมรวมทั้งเสริมศักยภาพในการบริหารธุรกิจท่ามกลางวิกฤต และช่วยเปิดทางสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีประเภทเดียว ไม่สามารถตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคและโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมแนะองค์กรพัฒนาบุคลากรปรับมุมมองให้พร้อมที่จะเปิดรับ-คิดค้น-ทดลองสิ่งใหม่ๆ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านกลยุทธ์และการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า วิกฤตโควิดระบาดระลอกใหม่ กำลังเป็นตัวเร่งให้ธุรกิจต้องหาทางนำการผสมผสานเทคโนโลยีพื้นฐาน (Technology Convergence) มาประยุกต์ใช้กับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหลากหลายประเภท ช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์ข้อมูล และประสานงานระหว่างหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ทำให้ธุรกิจประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น "วิกฤตโควิดสะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีประเภทเดียวในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการพาองค์กรให้รอดพ้นสถานการณ์วิกฤต โดยองค์กรต้องผสมผสานเทคโนโลยีหลายประเภทให้สามารถดูแลจัดการอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่การดูแลความปลอดภัยของพนักงาน กระบวนการดำเนินงาน การประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ธุรกิจเพื่อเตรียมรับมือเหตุไม่คาดฝัน" นายพชรกล่าว จากสถานการณ์โควิดระบาดระลอกใหม่ องค์กรสามารถนำ Internet of Behaviors (IoB) ซึ่งเป็นการผสานรวมเทคโนโลยีบ่งชี้ตัวตนไว้ด้วยกัน เช่น การจดจำใบหน้า ติดตามตำแหน่ง และ Big Data Analytics ไปปรับใช้ในการตรวจจับอุณหภูมิ หรือวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อช่วยประเมินมาตรการดูแลความปลอดภัยให้กับพนักงาน ขณะที่การสร้าง Total Experience ซึ่งเป็นการรวบรวมประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (User Experience) ผ่านเทคโนโลยี Touchless Interface เช่น การสร้างโมบายแอปพลิเคชันนัดหมายลูกค้าผ่านสมาร์ทโฟน มีระบบเช็กอินได้อัตโนมัติเมื่อลูกค้ามาถึง และส่งข้อความแจ้งพนักงานเพื่อให้พูดคุยกับลูกค้า จะสามารถช่วยลดการสัมผัส เพิ่มความคล่องตัวและความปลอดภัยในการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า สำหรับในส่วนกระบวนการทำงาน การผสมผสานเทคโนโลยีคลาวด์และสถาปัตยกรรมแบบกระจาย (Distributed architecture) เข้ากับระบบการปฏิบัติงานขององค์กร จะทำให้การทำงานสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมรองรับการขยายได้ทุกเมื่อ โดยที่ยังคงความปลอดภัยไว้อยู่ ขณะที่การวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ธุรกิจ การนำเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) มาผสมผสานกับเครื่องมือการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automation tools) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูลเพื่อช่วยตัดสินใจทางธุรกิจให้เป็นไปแบบอัตโนมัติยิ่งขึ้น ส่วนการผสมผสาน DataOps และ MLOps ทำให้การใช้ Machine Learning ในธุรกิจเกิดขึ้นได้จริงและสามารถวัดผลได้ และช่วยเสริมขีดความสามารถของ Machine Learning ในกระบวนการทางธุรกิจได้ นอกจากการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารงานเพื่อผ่านพ้นวิกฤต การผสมผสานเทคโนโลยียังสร้างการเติบโตและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา เนื่องจากจะสร้างรูปแบบการใช้งานใหม่ๆ (Use Case) หรือเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เช่นกัน โดยการผสมผสานเทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของธุรกิจในอนาคต นำมาซึ่งการเติบโตของผลกำไร และเปิดทางไปสู่การสร้างสินค้าหรือบริการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับเป็นการเพิ่มคุณค่าที่จะส่งมอบให้กับลูกค้า สำหรับเทคโนโลยีที่คาดว่าจะมีการนำมาใช้งานผสมผสานกัน ได้แก่ 1.AR / VR และ 5GAR / VR เป็นเทคโนโลยีที่มีการผสมผสานโลกจริงและโลกเสมือนด้วยการใช้ระบบซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้ใช้งาน และทำให้เกิดการตอบสนองต่อสิ่งจำลองนั้น ซึ่งถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายในธุรกิจ ส่วน 5G เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายที่ถูกนำมาใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ โดยสามารถสั่งงานและควบคุมสิ่งต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ เนื่องจากมีความหน่วงที่ต่ำ ตอบสนองได้ไวถึง 1 ส่วนพันวินาที เนื่องจากมีความหน่วงที่ต่ำ ตอบสนองได้ไวถึง 1 ส่วนพันวินาที สามารถรองรับการรับ - ส่งข้อมูลได้มากกว่าและรวดเร็วกว่าเทคโนโลยี 4G ถึง 10 เท่า รวมถึงมีความทนทานต่อความเสียหายทางโครงข่าย (Network Fault Tolerance) มากกว่า 4G ตัวอย่างน่าสนใจในการนำ AR / VR และ 5G มาใช้ผสมผสานกัน เช่น ในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ใช้สำหรับการผ่าตัดทางไกล ช่วยให้การผ่าตัดทำได้อย่างแม่นยำและช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ AR/VR ยังนำไปผนวกกับ Telemedicine หรือการแพทย์ทางไกล ทำให้กระบวนการตรวจรักษาและวินิจฉัยโรคของแพทย์เป็นไปอย่างเสมือนจริงยิ่งขึ้น 2.AI / Machine Learning (ML) และ Cloud ComputingAI คือชุดของโค้ด เทคนิค หรืออัลกอริทึม ที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถเลียนแบบ พัฒนาและแสดงพฤติกรรมของมนุษย์ได้ โดยจะมีหน่วย ML ซึ่งทำการฝึกให้อัลกอริทึมได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และตัดสินใจจากข้อมูลด้วยตนเอง ส่วน Cloud Computing คือระบบเก็บข้อมูลและประมวลผลระบบสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถดึงข้อมูลออกมาใช้งานได้ตลอดเวลาผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สำหรับการนำ AI / Machine Learning (ML) และ Cloud Computing สามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายภาคอุตสาหกรรม โดย AI สามารถเข้าไปดูแลจัดการระบบกระบวนการทำงานของธุรกิจและช่วยประมวลผลข้อมูล ทำให้ข้อมูลในระบบอัพเดทได้แบบเรียลไทม์ ง่ายต่อการนำไปใช้งานและประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น 3.Data Science และ Predictive Analyticsวิทยาการข้อมูล (Data Science) คือกระบวนการหาองค์ความรู้ใหม่จากข้อมูลมหาศาล เพื่อใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์และสร้างมูลค่าต่อธุรกิจหรือองค์กร ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนาย (Predictive Analytics) เป็นนำข้อมูลมาใช้ทำนายพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นจะในอนาคต จากการนำข้อมูลย้อนหลังมาประเมินความเสี่ยง ซึ่งจะทำให้สามารถช่วยในการตัดสินใจในทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการนำเทคนิคหลายๆ ด้านประกอบกัน เช่น หลักสถิติ การทำโมเดลวิเคราะห์ AI/Machine Learning (ML) และการทำเหมืองข้อมูล โดยปัจจุบัน Data Science และ Predictive Analytics มีการนำไปใช้งานในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก การผลิต ประกันภัย ธนาคาร บริการทางสาธารณสุขและบริการสาธารณูปโภค เป็นต้น 4.Blockchainบล็อกเชน (Blockchain) คือระบบโครงข่ายการเก็บข้อมูล (Database) แบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นเครือข่ายใยแมงมุม ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและแชร์ข้อมูลดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องดำเนินการผ่านตัวกลาง ทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ มีความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อถือได้ สำหรับตัวอย่างการใช้ประยุกต์ใช้บล็อกเชนที่เห็นได้ชัดคือในภาคอุตสาหกรรมการเงิน-ธนาคาร ที่ผสมผสานบล็อกเชนเข้ากับ AI ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการเงินไร้ตัวกลาง (Decentralized Finance) และมีการพัฒนาต่อยอดไปสู่การใช้ระบบสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในกระบวนการซื้อขายและทำธุรกรรมทางการเงินบนโลกออนไลน์ โดยเมื่อขั้นตอนการดำเนินงานลดลง ส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลดลงตามไปด้วย อีกทั้งการตัดตัวกลางออกจากระบบยังช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องความไม่เชื่อมั่นในตัวกลางของผู้บริโภคไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ นายพชร ระบุว่า ธุรกิจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการลงทุนเทคโนโลยีหลายอย่างพร้อมๆ กัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรับมือกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีขององค์กร ดังนี้ ตระหนักถึงปัญหาที่แท้จริงของธุรกิจ บุคลากรทุกฝ่ายในองค์กรต้องรับทราบและตระหนักถึงต้นตอของปัญหาที่ทำให้การดำเนินธุรกิจเกิดภาวะคอขวด (Bottleneck) หรือเติบโตช้า เพื่อให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด บุคลากรทุกคนต้องมีความเป็น R&D ในตนเอง คือมีทัศนคติที่พร้อมจะคิดค้นและทดลองสิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการวิเคราะห์ว่าแต่ละเทคโนโลยีมีจุดเด่น - จุดด้อยอย่างไร และเกิดการจินตนาการว่าการจับคู่ของเทคโนโลยีใดมีโอกาสทำให้ธุรกิจเกิด Use Case ใหม่ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า และประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา ริเริ่มวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดโอกาสให้เกิดการทดลอง (Culture of Experimentation) เพื่อสร้างบรรยากาศในการคิดวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์ เกิดการลองผิดลองถูก และพร้อมที่จะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงเปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรได้นำเสนอความคิดด้านการปรับใช้เทคโนโลยีที่มีส่วนต่อการพัฒนาธุรกิจ "บทเรียนสำคัญของภาคธุรกิจคงต้องเริ่มจากการปรับมุมมองว่าเทคโนโลยีพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว ก็สามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงและช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจได้ แต่ต้องยอมรับว่าการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและการทำความเข้าใจเทคโนโลยีหลากหลายประเภทในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น 'บลูบิค' ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีองค์ความรู้และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี ที่จะช่วยมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจ และให้คำแนะนำด้านการลงทุนพัฒนาระบบหรือแพลตฟอร์ม เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด นับเป็นทางลัดสำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรและสร้างการเติบโตด้วยเทคโนโลยี" นายพชร ทิ้งท้าย อ้างอิง https://www.ryt9.com/s/prg/3189662
09 ม.ค. 2021
SMEs ต้องชนะ...จัดสรร ค้ำฯ สินเชื่อ 100,000 ล้านบาท “บสย. SMEs ไทย สู้ภัย COVID-19” เปิดตัว 6 โครงการ กลุ่มเปราะบาง - SMEs ทั่วไป สถาบันการเงินตบเท้า ลงนาม ปล่อยสินเชื่อ
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. เปิด 6 โครงการ วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวมกว่า 100,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเปราะบาง และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วไป คาดช่วยเหลือเอสเอ็มอีได้กว่า 1 แสนราย ซึ่งโครงการดังกล่าวแบ่งวงเงินมาจากโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. SMEs สร้างชาติ (PGS9) จำนวน 40,000 ล้านบาท และวงเงินจากโครงการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. Micro ต้องชนะ (Micro 4) จำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อนำมาช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด รอบ 2 รักษ์ วรกิจโภคาทร “โควิดกลับมาระบาดรอบ 2 เราจึงมีการปรับแผนทำผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดขึ้น เพราะผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน และ บสย. มีการดูผลกระทบรายเดือน จึงเชื่อว่าในเดือนม.ค.64 จะสามารถเข้าไปค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการได้อย่างเพียงพอ เพราะที่ผ่านมาในยามมีวิกฤต บสย.จะค้ำประกันได้เฉลี่ยเดือนละ 10,000 ล้านบาท โดยวงเงินที่แบ่งมาจากโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS9 จำนวน 40,000 ล้านบาท ก็คาดว่าจะสามารถดูแลเอสเอ็มอีได้นานกว่า 4-5 เดือน ซึ่งหากไม่พอเราก็ยังมีวงเงินเหลือในส่วนของ PGS9 อีกกว่า 1 แสนล้านบาท ที่เตรียมไว้” สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ 6 โครงการนั้น แบ่งเป็น 2 โครงการ ที่ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเปราะบาง สู้ภัยโควิด ประกอบด้วย 1.โครงการ บสย. เอสเอ็มอีไทย สู้ภัยโควิด ซึ่งจะฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปี วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรายละ 200,000 บาท -20 ล้านบาท ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี วงเงินจัดสรร 5,000 ล้านบาท และ MAX CLAIM สูงสุด 35% ส่วนโครงการที่ 2 คือ บสย. รายย่อยไทย สู้ภัยโควิด ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก วงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อราย 10,000-100,000 บาท ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี วงเงินจัดสรร 5,000 ล้านบาท MAX CLAIM สูงสุด 40% โดยที่ผ่านมา บสย. ให้ MAX CLAIM สูงสุดอยู่ที่ 25-30% แต่เมื่อโควิดกลับมา จึงเพิ่มเสื้อเกาะให้ผู้ประกอบการ โดยขยาย MAX CLAIM สูงสุดถึง 40% เพื่อให้สามารถดูดพิษหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ขณะที่โครงการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วไปจะมี 4 โครงการ โดยจะฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปี ระยะเวลาค้ำประกันสินเชื่อ 10 ปี ประกอบด้วย 1.โครงการ บสย. เอสเอ็มอี ดีแน่นอน วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 200,000 บาท-100 ล้านบาท วงเงินจัดสรร 20,000 ล้านบาท 2.โครงการ บสย. เอสเอ็มอี บัญชีเดียว วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 200,000 บาท-100 ล้านบาท วงเงินจัดสรร 5,000 ล้านบาท 3.โครงการ บสย.เอสเอ็มอี ที่ได้รับสินเชื่อหนังสือค้ำประกัน (LG) วงเงินค้ำประกันต่อรายตั้งแต่ 200,000 บาท-100 ล้านบาท วงเงินจัดสรร 2,000 ล้านบาท 4.โครงการ บสย. รายย่อย ทั่วไป วงเงินค้ำประกันต่อราย ตั้งแต่ 10,000-500,000 บาท วงเงินจัดสรร 3,000 ล้านบาท “ทั้ง 6 โครงการนี้ บสย. จะรับความเสี่ยง ตั้งแต่ 20-40% พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขการรับความเสี่ยงระหว่าง บสย. และธนาคาร เช่น เกณฑ์การเครมโดยกำหนดสัดส่วนการรับความเสี่ยงแบบร่วมกัน Sharing ระหว่าง บสย.ที่สัดส่วน 70% และธนาคาร 30% กรณีที่ธนาคารยื่นเครมก่อนระยะเวลากำหนด เพื่อให้ธนาคารได้เข้ามามีบทบาทในการช่วยดูแลลูกหนี้ในด้านต่าง ๆ เช่น การปรับโครงการสร้างหนี้ จัดหนี้ หรือ ปรับปรุงเงื่อนไขให้ยืดหยุ่น” นอกจากนี้ บสย. ยังได้ร่วมค้ำประกันสินเชื่อในโครงการ Soft Loan Plus ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วงเงิน 57,000 ล้านบาท โดยขณะนี้ค้ำประกันสินเชื่อไปแล้ว 2,000 ล้านบาท จึงมีวงเงินเหลืออยู่ 55,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ธปท. ผ่อนปรนเกณฑ์ให้เอสเอ็มอีสามารถกู้ได้ 2 ครั้ง แต่ไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 จะสนับสนุนให้ บสย. สามารถค้ำประกันส่วนนี้ได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ บสย. ยังมีโครงการ บสย. เอสเอ็มอีไทยชนะ วงเงิน 5,000 ล้านบาท
09 ม.ค. 2021
ขอเชิญองค์กรร่วมคว้าโอกาสครั้งสำคัญ สู่เส้นทางแห่งความเป็นเลิศกับ “รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2564” เปิดรับสมัครขอรับรางวัลแล้ววันนี้
สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะของสำนักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ขอเชิญองค์กรที่สนใจเข้าร่วมสมัครขอรับ “รางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2564” รางวัลอันทรงเกียรติที่แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการขององค์กรที่เป็นเลิศ และเปี่ยมด้วยศักยภาพทัดเทียมมาตรฐานโลก สร้างความภาคภูมิใจในการเป็นองค์กรคุณภาพ ทั้งนี้ องค์กรที่ได้รับรางวัลยังได้ร่วมเป็นผู้นำในการส่งเสริม แบ่งปันวิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสำเร็จแก่องค์กรอื่น ๆ และพร้อมยืนหยัดเป็นกำลังสำคัญเพื่อขับเคลื่อนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไปในอนาคต . สำหรับองค์กรที่สนใจสามารถยื่นใบรับรองคุณสมบัติองค์กร ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม - 1 มีนาคม 2564 ผ่านเว็บไซต์ https://www.tqa.or.th/th/applicant/ โดยมีกำหนดส่ง Application Report ภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564
08 ม.ค. 2021
รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ Creative SME ประจำปี 2564
ขั้นตอนการสมัครเพื่อเข้ารับการคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2564 ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ (Creative SME) 1. พิจารณาข้อกำหนดและคุณสมบัติทั่วไป/คุณสมบัติเฉพาะของผู้สมัคร (กรณีคุณสมบัติผ่าน ให้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป) 2. ใบสมัครและแนบเอกสารประกอบการคัดเลือก (กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ชัดเจน และลงนามให้เรียบร้อย) 2.1 กรอกแบบฟอร์มใบสมัคร 2.2 เอกสารแนบ เอกสารสำเนาใบอนุญาตประประกอบการจากภาครัฐ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ - ตามทะเบียนโรงงานพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 - ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ที่มีประทานบัตร หรือใบอนุญาตแต่งแร่ - ตามทะเบียนผู้ผลิตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข - ตามทะเบียนพาณิชย์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ - หรือใบอนุญาตประกอบการจากภาครัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การจัดรูปองค์กรหรือแผนภูมิขององค์กร การเข้าร่วมกิจกรรมและความรับผิดชอบขององค์กรต่อสังคม จัดส่งทาง E-mail : creativesmeaward@gmail.com หลังจากส่งแบบฟอร์มการสมัครและเอกสารประกอบแล้วกรุณาโทรยืนยันการสมัครที่เบอร์ 061-4040302 , 02-3678386 3. เกณฑ์การพิจารณาและขั้นตอนการคัดเลือก (เพื่อเตรียมการจัดทำข้อมูลนำเสนอ) 4. จัดทำข้อมูลนำเสนอตามเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกเพื่อนำเสนอ / คู่มือการจัดทำข้อมูลนำเสนอ เปิดรับสมัครวันนี้ ถึง 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ทางไปรษณีย์: ฝ่ายเลขานุการคณะทำงานพิจารณาคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กล้วยน้ำไท) 86/6 ซอยตรีมิตร ถนนพระรามที่ 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 ทาง E-mail: creativesmeaward@gmail.com ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม 0 2367 8386 / 061 4040302 Email: creativesmeaward@gmail.com
06 ม.ค. 2021
กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย The Prime Minister's Industry Award 2021"
กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย The Prime Minister's Industry Award 2021" สมัครตั้งแต่บัดนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2564 ประกาศผลและมอบรางวัลเดือนสิงหาคม 2564 สแกน QR Code หรือ 0 2202 3429 , 0 2202 3518 ที่มา: สำนักบริหารกลาง...
05 ม.ค. 2021
รู้จัก “สติ – STI” 3 ปัจจัยเร่งด่วนที่ SMEs ต้องมี เพื่อก้าวต่อไปในปี 2564
ในปี 2563 ทุกๆ คน ทั่วโลกได้รู้จักกับโรคโควิด - 19 โรคติดต่อร้ายแรงที่มุ่งหมายพรากชีวิต โดยไม่สนใจว่าคนนั้นจะรวยหรือจน และนอกจากชีวิตแล้ว โรคร้ายชนิดนี้ ก็ยังได้พรากวิถีชีวิตดั่งเดิมของทุกๆ คน จนทำให้ส่งผลกระทบไปสู่ทุกๆ ด้าน เช่น ด้านการดำเนินงานของผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเพื่อให้สอดคล้องและตอบโจทย์ธุรกิจในยุค New Normal บางกิจการไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็ต้องปิดกิจการไป หรือ บางกิจการสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันตามสถานการณ์ก็สามารถกอบโกยผลกำไรได้ จนพูดได้ว่าเป็นปีที่วิกฤตของหลายๆ กิจการเลยก็ว่าได้ ด้วยความพลิกผันอย่างฉับพลันจากวิกฤตโรคโควิด – 19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ จึงทำให้หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐที่ดูแลผู้ประกอบการ SMEs ได้พยายามหานโยบายใหม่ๆ เพื่อเป็นวิธีและแนะนำการดำเนินงานในยุค New - Normal ในการแก้ไขและปรับปรุงการดำเนินงานของธุรกิจๆ นั้น ให้ฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้ ปัจจัยที่ 1. “Skill” หรือ “ทักษะเร่งด่วน” และในปีใหม่นี้ พ.ศ. 2564 หลายๆ หน่วยงานจึงได้มีการออกนโยบายต่างๆ มาแนะนำกับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการวิเคราะห์ในความเป็นไปได้จากฐานข้อมูลของปี 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการได้นำไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการวิธีการทำงานในปี 2564 และเพื่อตอบโจทย์กิจการให้ตรงจุดในยุค New Normal ที่วิกฤตโควิด – 19 ยังไม่มีท่าทีว่าจะจางหายไป และหนึ่งในนโยบายที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการในปีใหม่นี้ ก็คือ “สติ - STI” นโยบายจาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ปัจจัยที่ 2 “Tools” หรือ “เครื่องมือเร่งด่วน” “สติ – STI” นั้นย่อมาจาก (Skill – Tools - Industry) ซึ่งหากอ่านทับศัพท์เป็นภาษาไทย ก็จะออกเสียงเป็นคำว่า “สติ” ซึ่งเป็นนโยบายและแนวความคิดของทาง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ) กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้มีการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลของปี 2563 เพื่อเป็นแนวทางแบบ “เร่งด่วน” เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้อย่างเต็มศักยภาพในปี 2564 โดยประกอบด้วย 3 ปัจจัยเร่งด่วนสำคัญ ได้แก่ ปัจจัยที่ 3. “Industry” หรือ “อุตสาหกรรมเร่งด่วน” ปัจจัยที่ 1. “Skill” หรือ “ทักษะเร่งด่วน” ที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเร่งเรียนรู้ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากข้อมูลในปี 2563 พบว่า SMEs จำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งทักษะวิชาตัวเบา (Lean) การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้ในปัจจุบัน ถือเป็นทักษะที่จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการกิจได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจะต้องพัฒนาต่อยอดทักษะเดิม เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลง ทักษะการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการปรับใช้ในกระบวนการต่างๆ และทักษะความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับภาคอุตสาหกรรม และทาง กสอ. ยังได้มีการขยายผลศูนย์ Mini Thai - IDC ไปยังภูมิภาค เพื่อส่งเสริมการพัฒนาออกแบบบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ในระดับท้องถิ่นไปสู่เชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ 2 ได้แก่ “Tools” หรือ “เครื่องมือเร่งด่วน” ปัจจัยนี้จะเป็นตัวช่วยเร่งในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งประกอบไปด้วย แพลตฟอร์มออนไลน์ (DIProm มาร์เก็ตเพลส) โดยรวบรวมผลิตภัณฑ์คุณภาพจากผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมจาก กสอ. เพื่อเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้า ทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค นิเวศอุตสาหกรรม โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายของผู้ประกอบการทั้งมิติเชิงอุตสาหกรรมและพื้นที่ เพื่อสร้างความร่วมมือ ต่อยอดองค์ความรู้ และการยกระดับอุตสาหกรรม เงินทุนเพื่อการประกอบการ ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับการประกอบกิจการ อาทิ เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย การสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินทั้งในกำกับของรัฐ และเอกชน รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนจากภาพเอกชน เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับการดำเนินธุรกิจและก่อให้เกิดการจัดตั้งธุรกิจได้ในอนาคต และปัจจัยที่ 3. “Industry” หรือ “อุตสาหกรรมเร่งด่วน” ที่ได้มุ่งเน้นก็คือ เกษตรอุตสาหกรรม ซึ่งจากข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม มูลการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูป ระหว่างเดือนมกราคม – กันยายน 2563 อยู่ที่ 243,855 ล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพเพียงพอ สำหรับการสนับสนุนในระยะเวลาเร่งด่วน เพื่อให้เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการยกระดับศักยภาพในภาคการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป การพัฒนานักธุรกิจเกษตร และการส่งเสริมให้เยาวชนรุ่นใหม่หันมาประกอบอาชีพและพัฒนาภาคการเกษตรให้มีศักยภาพรวมทั้งการพัฒนาเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจสู่กระบวนการผลิตที่มีมูลค่าสูงต่อยอดขยายผลเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งการส่งเสริมวิสาหกิจให้มีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์รองรับความต้องการของผู้บริโภค ในปี 2564 นี้ “สติ - STI” จึงเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่น่าสน ที่ผู้ประกอบการจะนำไปปรับเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ประกอบการต้องรู้จักนำไปใช้ให้ถูกวิธี โดยนำไปบูรณาการกับธุรกิจที่ตัวเองดำเนินงานอยู่ เพื่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง และได้รับผลกระทบน้อยที่สุด จากวิกฤตโรคโควิด – 19 นี้
04 ม.ค. 2021
ขอเชิญเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในงาน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน"
กระทรวงอุตสาหกรรม จัดงานยิ่งใหญ่ Outlet ของขวัญเพื่อประชาชน "มหกรรมสินค้าราคาโรงงาน" ขอเชิญเลือกซื้อสินค้า อุปโภคบริโภค ของขวัญ ของที่ระลึก เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ราคาพิเศษ ส่งตรงจากโรงงาน...ถึงมือท่าน วันที่ 22 - 25 ธันวาคม 2563 เวลา 10.00 - 19.00 น. ณ กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 (เยื้องโรงพยาบาลรามาธิบดี)
04 ธ.ค. 2020
รับสมัครบุคคล เพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการฯ ปฏิบัติงานสนับสนุนงานบริการของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม จำนวน 1 อัตรา
ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7.รับสมัครบุคคลเพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการฯปฏิบัติงานสนับสนุนงานบริการของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม จำนวน 1 อัตรา.เงินเดือน 15,000.- บาท.สมัครด้วยตนเองตั้งแต่บัดนี้ - 7 ธันวาคม 2563 (วัน-เวลาราชการ).ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7เลขที่ 222 หมู่ 24 ถนนคลังอาวุธ ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000 โทร. 045 314216.รายละเอียดประกาศhttps://ipc7.dip.go.th/th/news/procurement?idp=15204 ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ประกาศรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการ ปฏิบัติงานสนับสนุนงานบริการของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม จำนวน 1 อัตรา รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2563 ประกาศเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2563
27 พ.ย. 2020
เปิดรับสมัครผู้ประกอบการในสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ นักออกแบบอิสระ และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "จุดประกายสร้างสรรค์ เพื่อชุมชนเข้มแข็ง (Local Designer)”
ปลุกพลังสร้างสรรค์ เพื่อชุมชนเข้มแข็ง ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 เปิดรับสมัครผู้ประกอบการในสาขาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ นักออกแบบอิสระ และบุคคลทั่วไป เข้าร่วมอบรมหลักสูตร "จุดประกายสร้างสรรค์ เพื่อชุมชนเข้มแข็ง (Local Designer)” ระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมแกลลอรี่ ดีไซน์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ครบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย คุณธัญญ์นภัส กิ่งสุวรรณ : เจ้าของแบรนด์ 'Thorr' ของตกแต่งบ้าน และแฟชั่นร่วมสมัย คุณขวัญสุดา เนตรวงศ์ : เจ้าของเพจ อรรถรส ที่สร้างยอดไลค์หลักแสน ภายใน 1 เดือน คุณศิรวิชญ์ ชัยอภิสิทธิ์ : Creative Director แบรนด์ Dhammada Garden เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 หรือท่านสามารถลงทะเบียนเตรียมพร้อมร่วมกิจกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ลงทะเบียนรับข้อมูลข่าวสารได้ที่ ติดต่อสอบถาม ม่าเหมี่ยว 082 151 9973 mmeaw192
27 พ.ย. 2020