ยาสีฟันถือว่าเป็นของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของพวกเรา และหลอดของมันก็กลายเป็นอันดับของขยะที่สร้างปัญหาให้กับโลกของเราเช่นกัน นี่คือยาสีฟันที่จะทำให้คุณเลิกสร้างขยะพลาสติกได้อย่างถาวร Asher Hunt และ Lindsay McCormick สองผู้ก่อตั้งของ Bite Toothpaste Bits เล่าให้เราฟังว่า จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากการที่พวกเขาต้องเดินทางบ่อย ๆ แล้วก็พบว่าหลอดยาสีฟันขนาดเล็กที่พกติดตัวไปนั้น ไม่เคยถูกใช้หมดเลยสักครั้งพวกมันจะถูกทิ้งไว้ในกระเป๋าเดินทางจนหมดอายุ แล้วก็กลายเป็นขยะให้กับโลกใบนี้ แน่นอนว่าพวกยาสีฟันหลอดใหญ่ก็สร้างปัญหาให้กับโลกใบนี้ไม่น้อยไปกว่ากัน พวกเขาจึงทำการศึกษาส่วนประสมของยาสีฟัน เพื่อต้องการลดปัญหาของขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นจากหลอดของยาสีฟัน แล้วพวกเขาก็หาทางออกได้ด้วยการทำ “ยาสีฟันชนิดเม็ด” ออกมา เมื่อยาสีฟันกลายเป็นเม็ดมันก็ไม่จำเป็นต้องมีหลอดพลาสติกอีกต่อไป จากนี้ไปยาสีฟันก็จะถูกเก็บเอาไว้ในขวดแก้วแทน และเมื่อคุณต้องเดินทางการพกติดตัวก็จะเป็นเรื่องง่าย เพียงหยิบยาสีฟันติดตัวไปไม่กี่เม็ดทุกอย่างก็จบแล้ว ธุรกิจ Bite Toothpaste Bits ของพวกเขากำลังไปได้ดี แต่ต้องการทุนในการขยายตัว พวกเขาเข้าไปในรายการ Shark Tank เพื่อขอเงินลงทุน 325,000 ดอลลาร์แลกกับหุ้น 5% โดยมีผลประกอบการที่น่าสนใจตรงที่ว่ายาสีฟันของพวกเขามีต้นทุน 3.15 ดาลลาร์ แต่ขายได้ราคาถึง 12-30 ดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนสนใจที่จะทำการลงทุน แต่ต้องการหุ้นมากขึ้นอยู่ที่ 15% สองผู้ก่อตั้งบอกว่าหุ้น 15% ถือว่ามากเกินไป พวกเขาให้ได้เต็มที่แค่ 7% เท่านั้น เป็นอันว่าพวกเขาปฏิเสธเงินลงทุนจาก Shark Tank ส่วนหนึ่งมาจากการที่ธุรกิจของพวกเขาไม่ได้มีนายทุนคนอื่นและไม่มีหนี้สินใด ๆ ในการทำธุรกิจ จึงสามารถปฏิเสธนายทุนได้เมื่อเงื่อนไขไม่ลงตัว ที่มา : www.smartsme.co.th

สตาร์ทอัพรุ่นเก๋าทำการยกเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปใส่ไว้ในดวงตา สร้างคอนแทคเลนส์อัจฉริยะที่ทำให้การแสดงผลบนโลก AR ออกมาสมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เมื่อทำการสวมคอนแทคเลนส์ของ Mojo Vision คุณจะพบกับการนำเสนอข้อมูลและการแสดงผลที่ดีที่สุด สามารถตอบโต้เลือกการทำงานด้วยการเพ่งสายตาไปยังไอคอนต่าง ๆ บนหน้าจอ ซึ่งก็คือดวงตาของคุณนั่นเอง ผลิตภัณฑ์ที่ซุ่มทำการพัฒนามานานกว่า 10 ปี จะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา โดยใช้ AR ในการการซ้อนทับภาพที่ปรับปรุงแล้วทำให้เห็นเหมือนปกติได้ และหากทำได้มันจะกลายเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ในการสาธิตแสดงให้เห็นว่าคอนแทคเลนส์สามารถฉายจอแสดงผล LED ขนาดเล็กไปยังเรตินาของดวงตาทำให้คนที่สวมใส่มองเห็นส่วนประกอบเพิ่มเติมต่าง ๆ ขึ้นมาได้ นอกจากนั้นยังสามารถใช้การเพ่งสายตาให้โฟกัสส่วนต่าง ๆ เพื่อทำการควบคุมการทำงานได้อีกด้วย เวอร์ชั่นปัจจุบันจะเป็นการส่งและรับข้อมูลแบบไร้สายผ่านกล่องส่งสัญญาณแบบพกพา ซึ่งสามารถติดตั้งไว้กับเข็มขัด แต่พวกเขาหวังว่ามันจะสามารถเชื่อมโยงโดยตรงกับสมาร์ทโฟนได้ในอนาคต ที่มา : www.smartsme.co.th

ตอนนี้โรงพยาบาลในประเทศจีนได้รับความช่วยเหลือจาก UVD Robots ซึ่งเป็นหุ่นยนต์จากผลงานของสตาร์ทอัพชื่อ Blue Ocean Robotics ของเดนมาร์ก UVD Robots ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อโรคด้วยการขับเคลื่อนด้วยตัวเอง โดยมีการใช้แสงอุลตร้าไวโอเลตในการฆ่าเชื้ออย่างไวรัสและแบคทีเรีย หุ่นยนต์รุ่นนี้ราคาประมาณ 2.1 ล้านบาท ถูกส่งไปประจำการแล้วกว่า 40 ประเทศ ตอนนี้หุ่นยนต์รุ่นนี้ได้ถูกส่งเข้าประจำการยังยังโรงพยาบาลในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก ผ่านทางข้อตกลงของ Sunay Healthcare Supply ที่ต้องการใช้หุ่นยนต์ทำการฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ของจีน เชื่อว่าหุ่นยนต์รุ่นนี้จะสามารถฆ่าเชื้อได้ในทุกซอกทุกมุมของโรงพยาบาลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผู้บริหารของ Blue Ocean Robotics กล่าวว่า “หุ่นยนต์ของเราใช้อัลกอริธึมขั้นสูงทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์พิเศษ เพื่อทำการฆ่าเชื้อได้แบบครอบคลุมทุกพื้นผิวด้วยความเข้มข้นของแสงที่เหมาะสมเพียงพอที่จะทำการฆ่าไวรัส นอกจากนี้เรายังมีฐานข้อมูลที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าพื้นที่ไหนถูกปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียและไวรัสชนิดใด” Blue Ocean Robotics เพิ่งทำการปิดรอบการระดมทุนมูลค่า 372 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2019 ทำให้มั่นใจได้ว่า หุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัตโนมัติมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน ที่มา : www.smartsme.co.th

โยนพลั่วทิ้งไป! Startup แคนาดาโชว์ไอเดียสุดคูล รักษ์โลกแบบอัจฉริยะ บินโดรนปลูกป่า 1,000 ล้านต้น ทั้งรวดเร็ว แถมใช้ต้นทุนต่ำ ปัจจุบันเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ หรือ “โดรน” ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในหลายๆ ด้าน เช่นการสำรวจ โลจิสติกส์ หรือด้านเกษตรกรรม ฯลฯ ล่าสุด ที่ประเทศแคนาดา บริษัทสตาร์ทอัพนาม Flash Forest ซึ่งมีแนวทางเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับโครงการปลูกป่าทางเหนือของโตรอนโต โดยใช้วิธีบินโดรน และโปรยเมล็ดพันธุ์ไปทั่วแนวป่า สืบเนื่องจากแถบนี้ก่อนหน้าได้ถูกไฟป่าคุกคาม เมล็ดพันธุ์ของสนพื้นเมืองถูกโปรยลงไปโดยมีเป้าหมายให้ได้ 40,000 ต้นในเดือนแรก และแผนระยะยาวคือ 1 พันล้านต้น ภายในปี 2571 สำหรับขั้นตอนการทำงาน เริ่มจากบินโดรนสำรวจพื้นที่ ส่งข้อมูลมายังระบบซอฟต์แวร์ซึ่งจะทำการเลือกจุดที่ที่ดีที่สุดในการปลูกโดยอิงจากดินและพืชที่มีอยู่ จากนั้นโดรนอีกฝูงหนึ่งจะเริ่มโปรยเมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำไปในจุดที่ต้องการปลูก โดยเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เป็นสูตรพิเศษของบริษัท งอกและเติบโตง่าย กักเก็บความชื้นได้ดีเมื่อเป็นต้นกล้า อยู่รอดได้นานแม้เกิดภาวะฝนแล้ง “โดรนช่วยให้ไปถึงในพื้นที่ที่ยากลำบาก ซึ่งเราเข้าไปปลูกไม่ได้ เช่น ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาหรือในป่าชายเลน โดยจะยิงเมล็ดพันธุ์ให้ลึกลงไปในดิน” Angelique Ahlstrom ผู้ร่วมก่อตั้ง Flash Forest และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ กล่าว Ahlstrom ย้ำว่า โดรนทำงานได้รวดเร็วและใช้ทุนต่ำ เมื่อเทียบกับคนที่ปลูกด้วยพลั่วหรือวิธีแบบเดิม ๆ เทคโนโลยีของ Flash Forest จะปลูกได้ 10,000-20,000 ต้นต่อวัน ที่มา : www.smartsme.co.th

ตอนนี้การปลดพนักงานของบรรดาสตาร์ทอัพกำลังเพิ่มมากขึ้น เดือนที่ผ่านมาบริษัทหุ่นยนต์ทำพิซซ่าอย่าง Zume และ บริษัทคาร์แชร์อย่าง Getaround นับกันก็ปลดพนักงานมากกว่า 500 ตำแหน่ง ต่อจากนี้ยังมีบริษัท 23andMe, Flexport, Firefox Mozilla และ Quora ที่กำลังหดตัวอย่างรุนแรง อ้างอิงตามรายงานของ The New York Times พบว่ามีบริษัทสตาร์ทอัพทั่วโลกกว่า 30 แห่งได้ทำการปลดพนักงานออกไปมากกว่า 8,000 ตำแหน่งในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมากกำลังประสบความยากลำบากหลังจากปี 2562 ไม่เว้นแม้แต่ระดับยูนิคอร์นที่โดดเด่นอย่าง Uber และ Lyft ซึ่งกำลังสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี รวมถึงข่าวใหญ่ของปีที่ผ่านมาของ WeWork เข้าไปด้วย นี่อาจจะเป็นแรงเหวี่ยงกลับคล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นกับธุรกิจดอทคอมในช่วงปี 2543 เมื่อบริษัททางด้านอินเทอร์เน็ตที่ไม่ทำกำไรหลายแห่งพากันล้มละลาย แต่ต่างกันตรงที่วันนี้ผู้ร่วมทุนและนักลงทุนยังมีเงินจำนวนมากในการลงทุน แต่เพียงลังเลที่จะทำการลงทุนต่อในธุรกิจสตาร์ทอัพที่ทำไม่ได้ตามแผน ทำให้บริษัทสตาร์ทอัพที่ครั้งหนึ่งเคยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว กำลังทำการเปลี่ยนจังหวะของธุรกิจ อะไรที่ไม่กำไรก็คงต้องเลิกไป เพราะการต่อยอดบนสิ่งที่ไม่มั่นคงแข็งแรงก็มีแต่รอวันที่จะพังลงมา อีกทั้งบริษัทที่ใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังก็จะไม่สามารถทำอะไรต่อได้ในที่สุด สตาร์ทอัพหลายแห่งไม่ได้ทำเพียงแค่ลดจำนวนพนักงานเท่านั้น มันยังรวมถึงการลดจำนวนของหุ่นยนต์ลงไปด้วย และแน่นอนว่าจำนวนสาขาก็กลายเป็นสิ่งที่มีการหดตัวเช่นเดียวกัน และการระดมทุนได้มากก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าธุรกิจจะอยู่รอดได้ด้วย ต้องรอดูกันต่อไปว่าช่วงขาลงนี้จะมีผลยาวนานไปอีกแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ระดับยูนิคอร์นก็ไม่ปลอดภัยจากเรื่องนี้ ที่มา : www.smartsme.co.th

Glovo สตาร์ทอัพการส่งอาหารของสเปน ได้เตรียมแผนถอยออกจากหลายประเทศในตะวันออกกลาง เนื่องจากต้องปรับกลยุทธ์รับมือการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดย Glovo เตรียมแผนที่จะถอยออกจากประเทศตุรกี, อียิปต์, อุรุกวัย และเปอร์โตริโก และจะหันไปทำตลาดในอเมริกาใต้,ยุโรปตะวันตกเฉียงใต้, ยุโรปตะวันออก และแอฟริกาแทน การย้ายออกจากตะวันออกกลางนั้นมามีสาเหตุมาจากการลงทุนของ Mubadala ที่เป็นการลงทุนของรัฐอาบูดาบี ที่จะส่งผลให้ตะวันออกกลางมีการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป ทำให้ Glovo จำเป็นต้องปรับแผนเพื่อคงไว้ซึ่งสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามที่ต้องการ ปีที่ผ่านมาตุรกีได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของ Glovo อีกทั้งยังมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในอียิปต์ แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไปการปรับตัวเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ อย่างไรก็ตาม Glovo กล่าวว่ายังมีตลาดอีกจำนวนมากที่ยังมีการแข่งขันไม่รุนแรง และตลาดเหล่านั้นคือเป้าหมายต่อไปที่จะเข้าไปทำธุรกิจรับส่งอาหาร ที่มา : www.smartsme.co.th

อุบลราชธานี 24 พฤศจิกายน 2564 ดร.รุ่งโรจน์ อิฐรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM IPC7) เป็นประธานการประชุมเจ้าหน้าที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ครั้งที่ 5/2564 ณ ห้องประชุมผาแต้ม ชั้น 2 อาคารอำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 โดยมีผู้อำนวยการกลุ่มฯ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อหารือแนวทางการดำเนินงานภายในองค์กร และแลกเปลี่ยนทิศทางกรอบการทำงานส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่.#ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7 #DIPROM

สตาร์ทอัพจากประเทศอังกฤษร่วมมือกับ Sumitomo Dainippon Pharma ซึ่งเป็นบริษัทยาของประเทศญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จในการใช้ AI ในการคิดค้นยาตัวใหม่สำหรับใช้ในผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ Obsessive-Compulsive Disorder (OCD) ได้เป็นผลสำเร็จ ความสำเร็จครั้งนี้สามารถช่วยลดเวลาในการพัฒนาตัวยา จากเดิมที่ใช้เวลามากถึง 5 ปีตอนนี้สามารถลดลงเหลือเพียงแค่ 12 เดือนเท่านั้น นี่เป็นความสำเร็จครั้งแรกในเรื่องใช้ AI คิดค้นยา หลังจากที่เราเห็นกันไปแล้วว่า AI สามารถทำการวินิจฉัยผู้ป่วย, วิเคราะห์ข้อมูล และทำการสแกนร่างกายของผู้ป่วย ครั้งนี้แตกต่างไปตรงที่เป็นการใช้ AI สร้างยาใหม่ขึ้นมาโดยตรง ยาตัวแรกจะเข้าสู่การทดลองระยะที่หนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะตามด้วยการทดสอบระดับโลกมากขึ้น ที่มา : www.smartsme.co.th

โอกาสสำหรับผู้ที่สนใจอยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จมาถึงแล้ว กองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดรับสมัคร ‼️‼️ เข้าร่วมการฝึกอบรมหลักสูตร New Wave New Gen "ติดปีกคลื่นลูกใหม่ก้าวสู่ธุรกิจยุค New Normal" (ภายใต้โครงการ NEC : New Entrepreneur Creation) เรียนรู้การสร้างแบรนด์ในยุค New Normal, รอบรู้เรื่องการเงินและบัญชี การวางแผนภาษี, กลยุทธ์การทำ Content ออนไลน์อย่างไรให้ปัง, การออกแบบธุรกิจ และผลิตภัณฑ์อย่างไรให้โดนใจลูกค้า เป็นต้น ด่วน.. รับเพียง 35 ท่านเท่านั้น‼️ อบรมระหว่าง วันที่ 12 - 14 มกราคม, วันที่ 19 - 22 มกราคม และวันที่ 26 - 29 มกราคม 2565 คุณสมบัติผู้สมัคร เป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 - 60 ปี ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ดังนี้ เริ่มต้นธุรกิจมาแล้วไม่เกิน 3 ปี หรือ ทายาททางธุรกิจ หรือ ผู้ที่มีความตั้งใจในการเริ่มต้นทำธุรกิจ สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถสแกน QR Code ใบสมัคร หรือตามลิงค์ด้านล่าง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 0-2430-6873 ต่อ 1651 061-5097878

ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 : ITC ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ให้บริการผู้ประกอบการให้คำปรึกษาแนะนำ แลกเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินธุรกิจ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ผลไม้ การให้คำแนะนำช่องทางการตลาด การออกแบบตราสินค้า การสร้างตัวตนสินค้า . #DIPROM #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7