โทรศัพท์ 1358

แล็บประชารัฐจับมือมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมยกระดับ SMEs
แล็บประชารัฐจับมือมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยเร่งยกระดับสินค้าเอสเอ็มอีไทยกลุ่ม Non Food เน้นเครื่องสำอางและของใช้ในธุรกิจโรงงาน ต่อยอดบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มอาหารให้มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมตามเทรนด์ของโลก นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการ แล็บประชารัฐ เปิดเผยภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ด้านการตรวจวิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้ด้านการทดสอบและตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ สำหรับการรับรองเครื่องหมายฉลากเขียวในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ว่า สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานของแล็บประชารัฐที่กำลังขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร หรือ Non-food โดยเน้นกลุ่มเครื่องสำอางและของใช้ในธุรกิจโรงแรมที่พักท่องเที่ยวซึ่งกำลังบูม นอกจากนี้ จะร่วมกันยกระดับบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอาหาร ซึ่งทางมูลนิธิฯ กำลังจะออกเกณฑ์ใหม่เร็วๆ นี้ ดังนั้น หากร่วมมือกับมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งเป็นผู้ให้การรับรองเครื่องหมาย "ฉลากเขียว" รายเดียวในประเทศไทย ก็จะช่วยให้การยกระดับมาตรฐานและเพิ่มมูลค่าสินค้าคนตัวเล็กครอบคลุมทั้งกลุ่มอาหารและไม่ใช่อาหาร อันเป็นฐานรากเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ นายเผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการ มูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยว่า แล็บประชารัฐจะเป็นหน่วยงานแรกที่ได้รับการพิจารณาเลือกใช้เมื่อมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยมีความจำเป็นต้องใช้บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ โดยนอกจากจะช่วยกันพัฒนาการดำเนินงานด้านการทดสอบและตรวจวิเคราะห์แล้ว ยังจะสนับสนุนการศึกษาวิจัยข้อมูลด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรของทั้ง 2 หน่วยงาน และสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวให้เป็นผู้ตรวจประเมินในกระบวนการขอรับรองฉลากเขียว ทั้งนี้ ฉลากเขียวเป็น 1 ใน 2 กลุ่มฉลากที่ได้รับการรับรองจากมูลนิธิสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย โดยจะให้การรับรองในสินค้าอุปโภคบริโภค ยกเว้นอาหาร เครื่องดื่ม และยา สินค้าที่ได้รับฉลากดังกล่าวจะเป็นสินค้าที่มีองค์ประกอบ กระบวนการผลิต การใช้ และการทิ้งทำลายที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าสินค้าที่ไม่ได้รับการรับรอง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในประเทศไทยที่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้เครื่องหมายฉลากเขียวแล้ว 26 กลุ่มผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น 631 รายการ อ้างอิง https://goo.gl/d1boMu ---------------------------------------------------------- ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา ธุรกิจอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการ ที่เป็นเลิศและมีความยั่งยืนสู่สากล โทรศัพท์ : (045)314135, (045)314216-7, (045)311987 โทรสาร : (045)311987 website : https://ipc7.dip.go.th facebook : https://www.facebook.com/dip.ipc7
08 ส.ค 2017
“สตาร์ทอัพไทย” ตื่นตัวเพิ่มถึง 8,000 ราย ชี้ 7 เทรนด์ธุรกิจมาแรงในปี 2561
ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเผยปี 2560 จำนวนสตาร์ทอัพไทยเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,000 ราย จากเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีเพียงประมาณ 100-200 ราย เท่ากับเพิ่มขึ้นกว่า 80% แจงเริ่มดำเนินธุรกิจจริงแล้วประมาณ 1,500 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มดิจิตอลและเทคโนโลยี ระบุเทรนด์อนาคตขยายครอบคลุมทุกกลุ่มตามกระแสโลกที่ก้าวไป ขณะที่ กสอ.จับมือเดลต้าฯ มอบทุน 5 แสนบาท จัดตั้งธุรกิจ โชว์ 4 นวัตกรรม เครื่องช่วยอ่านหนังสือคนตาบอด ระบบวัดอุณหภูมิทางการแพทย์เรียลไทม์ แอปฯ คุมไฟฟ้าไร้สาย ตัวช่วยคุมระบบ BAS ลดการเปลืองไฟ ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในปี 2560 มีการเพิ่มขึ้นของสตาร์ทอัพทั่วไปกว่า 8,000 ราย จากช่วง 2-3 ปีก่อนที่มีเพียงแค่ระดับหลัก 100 ราย หรือเท่ากับเพิ่มขึ้นกว่า 80% อย่างไรก็ตาม การเติบโตขึ้นในจำนวนดังกล่าวส่วนใหญ่แล้วยังเป็นสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วงของการพัฒนาแนวคิดและช่วงพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Problem Solution Fit and Product Market Fit) โดยสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพและสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้จริงอยู่ที่ประมาณ 1,500 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ ช่วยให้เกิดการจ้างงานได้ถึง 7,500 อัตรา หรือคิดเป็นสัดส่วน 1:5 (ที่มา : สมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่) ทั้งนี้ ยังพบอีกว่าสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ของไทยจะอยู่ในกลุ่มของแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน ระบบ Fintech, E-Commerce ที่กำลังครอบคลุมและกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก การบริการต่างๆ (Service Tech) ผ่านช่องทางออนไลน์ ตามมาด้วยการพัฒนาระบบการจัดการทางธุรกิจและการเป็นส่วนหนึ่งกับกิจวัตรประจำวัน โดยปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตดังกล่าวมาจากความนิยมในการใช้อินเทอร์เน็ต ความต้องการความสะดวกสบายในชีวิต ตลอดจนประสิทธิภาพทางระบบอินเทอร์เน็ตของไทยที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี สำหรับแนวโน้มในอนาคต การประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพจะไม่ได้มีเพียงแค่เทค-ดิจิตอลสตาร์ทอัพเท่านั้น แต่จะต้องพัฒนาให้เกิดอย่างครอบคลุมตามกระแสโลกที่เป็นไป โดยแนวโน้มสตาร์ทอัพที่จะเติบโตมากขึ้นในปี 2561 และน่าจับตาพบว่าอยู่ในภาคเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และสุขภาพ แบ่งเป็น 7 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจภาครัฐและการศึกษา กลุ่มการเกษตรและอาหาร กลุ่มนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตแห่งอนาคต กลุ่มไลฟ์สไตล์และความบันเทิง กลุ่มเทคโนโลยีท่องเที่ยว และกลุ่มเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ (ที่มา : สนช.) ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ด้าน ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวเสริมว่า กสอ.ได้กำหนดให้การส่งเสริมสตาร์ทอัพเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของหน่วยงาน ซึ่งแนวทางการส่งเสริมสตาร์ทอัพของ กสอ.ในปี 2560 นี้ได้แบ่งนโยบายการสนับสนุนกลุ่มคนดังกล่าวใน 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ 1. การพัฒนาผู้ประกอบการและสร้างสตาร์ทอัพรายใหม่ด้วยการส่งเสริมความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจด้วยการนำระบบเทคโนโลยี ดิจิตอล และพัฒนานวัตกรรมขึ้นใหม่หรือพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ 2. การให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในการสร้างโมเดลธุรกิจเริ่มต้น การกำหนดตลาด กลุ่มเป้าหมายการเขียนแผนงาน เพื่อการนำเสนอแนวความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นไปได้ต่อการพัฒนาสู่ธุรกิจจริงต่อแหล่งทุน 3. การพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำงานและการแบ่งปันความคิดสร้างสรรค์ร่วมกันทั้งในรูปแบบ Co-Working Space, Maker Space ตลอดจน Innovation Space เพื่อผลักดันให้เกิดการรวมตัว พัฒนาผลงาน โดยมีตัวอย่างที่เห็นผลสำเร็จ อาทิ กลุ่ม Chiang Mai Maker Space พร้อมด้วยศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ Thai IDC และศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรรมสู่อนาคต หรือ ศูนย์ ITC 4. การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน โดยจัดให้มีกิจกรรมการแข่งขันเพื่อนำเสนอผลงานการสร้างผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่มีมูลค่าสูง เพื่อให้ได้รับโอกาสและประสบการณ์ในการแสวงหาแหล่งทุนในรูปแบบ Angel Fund เพื่อการจัดตั้งธุรกิจ ซึ่งในปีนี้มีกิจกรรม Angel Fund for Startup ปี 2 โดย กสอ.ได้ร่วมกับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พัฒนาไอเดียสร้างสรรค์ที่เกิดจากคนรุ่นใหม่ที่สามารถต่อยอดเริ่มต้นธุรกิจได้ พิธีมอบเงินทุนสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ กิจกรรม Angel Fund for Startup ณ เวทีกลาง ชาเลนเจอร์ 2 อิมแพค เมืองทองธานี นอกจากนั้น เร็วๆ นี้ กสอ.ได้จัดพิธีมอบเงินทุนสนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจ กิจกรรม Angel Fund for Startup ณ เวทีกลาง ชาลเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงาน Thailand Industry Expo 2017 โดยกิจกรรม Angel Fund for Startup ในปีนี้มีกลุ่มสตาร์ทอัพและนำเสนอผลงานจำนวนถึง 254 ทีม/459 คน และทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้ารับทุน Angel Fund ในวงเงิน 500,000 บาท ภายใต้ Thailand 4.0 ได้แก่ ทีมReadRing (รี้ด-ริง) ผู้พัฒนาแนวคิดและผลงานคอมพิวเตอร์เบรลล์ขนาดพกพาพร้อมฟังก์ชันอ่านหนังสือปกติสำหรับคนตาบอด และทีม The Brother Team ผู้พัฒนาแนวคิดและผลงาน IO-Med โซลูชันส์เพื่อใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม Health Care และภายใต้โจทย์ Energy Management ได้แก่ ทีม Pure Control System ผู้พัฒนาแนวคิดผลงานการบริหารจัดการเครือข่ายไฟฟ้าแสงสว่างขนาดใหญ่ในพื้นที่กว้างแบบไร้สาย สามารถเพิ่มหรือลดปริมาณแสงสว่างเพื่อการประหยัดพลังงาน และทีม OM FOR YOU ผู้พัฒนาแนวคิดผลงานระบบเพิ่มความชาญฉลาดให้กับ Building Automation System (BAS) เพื่อช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า “หลังจากผู้ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนแล้ว กสอ.จะเข้าติดตามความต่อเนื่อง และร่วมพัฒนา ตลอดจนเผยแพร่และสนับสนุนผ่านช่องทางต่างๆ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น” ดร.พสุกล่าวทิ้งท้าย อ้างอิง https://goo.gl/frAEBW
07 ส.ค 2017
โครงการจัดกิจกรรมประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม
โครงการจัดกิจกรรมประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมประกวดตราสัญลักษณ์และคำขวัญการป้องกันและต่อต้านการทุจริต กระทรวงอุตสาหกรรม รายละเอียดสามารถติดตามได้ตาม link นี้ https://goo.gl/J7qHEh หรือดาวน์โหลดใบสมัครได้ตาม link นี้ https://goo.gl/sB5F22 หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 2023683
05 ส.ค 2017
นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และเครือข่ายผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ร่วมงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี”
วันที่ 4 สิงหาคม 2560 นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และเครือข่ายผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ร่วมงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์ โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม และเครือข่ายผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ร่วมบริจาคเงินเข้า “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” จำนวน 22,481,100 บาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ---------------------------------------------------------- ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา ธุรกิจอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการ ที่เป็นเลิศและมีความยั่งยืนสู่สากล โทรศัพท์ : (045)314135, (045)314216-7, (045)311987 โทรสาร : (045)311987 website : https://ipc7.dip.go.th facebook : https://www.facebook.com/dip.ipc7
04 ส.ค 2017
กระทรวงอุตฯ เร่งออกมาตรการด่วนฟื้นฟูเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชน หลังพายุถล่มโรงงานอีสาน สั่งการหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ทันที
กรุงเทพฯ 31 กรกฎาคม 2560 - กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งบรรเทาความเสียหายจากวิกฤตการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในภาคอุตสาหกรรมพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน โดยมอบหมายให้หน่วยงานภายใต้สังกัด ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูกิจการโรงงานอุตสาหกรรม และวิสาหกิจชุมชนทันที ประกอบด้วย มาตรการการฟื้นฟูสถานประกอบการหรือโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาตรการเชื่อมโยงโรงงานฯ และ SMEs ที่ถูกน้ำท่วมกับสินเชื่อ SMEs Bank มาตรการการลงพื้นที่ เพื่อให้คำแนะนำการป้องกัน ตลอดจนการกำหนดให้ SME Support and Rescue Center ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs เป็นศูนย์ช่วยเหลือสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยจาการติดตามสถานการณ์และการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด พบว่า จังหวัดสกลนครเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด มีสถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรมของ SMEs ได้รับความเสียหายมากถึง 80 – 100 โรงงาน อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้กระทรวงฯ จะยังคงติดตามสถานการณ์และพื้นที่เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยพื้นที่ที่ยังคงต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ จังหวัดนครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด เพื่อการกำหนดมาตรการการช่วยเหลือระยะอื่นๆ ต่อไป นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จนทำให้เกิดภาวะน้ำป่าไหลหลาก อุทกภัยแบบฉับพลัน รวมถึงดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ได้ส่งผลอย่างรุนแรงต่อการดำเนินชีวิตรวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่มีความเสียหายและได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งในส่วนของราชการและประชาชน โดยจากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กระทรวงอุตสาหกรรมพบว่า ภาคอุตสาหกรรมก็เป็นภาคส่วนหนึ่งที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นสถานประกอบการของผู้ประกอบการ SMEs โรงงานอุตสาหกรรม วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนหน่วยงานและศูนย์บริการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จากการประเมินความเสียเบื้องต้นทราบว่า ในจังหวัดสกลนครถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยมีสถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรมของ SMEs ได้รับผลกระทบถึง 80-100 โรงงาน จากจำนวนโรงงานจำพวก 2 และ 3 รวมกว่า 600 โรงงาน อีกทั้งยังมีพื้นที่ที่ยังต้องเฝ้าระวังความเสียหายอีก 4 จังหวัด คือ นครพนม ขอนแก่น กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด ทั้งนี้ สามารถสรุปสถานการณ์อุทกภัยและน้ำไหลหลากปัจจุบันมี 19 จังหวัด ดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ สกลนคร นครราชสีมา ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ มุกดาหาร อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ ภาคเหนือ 5 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย และอุตรดิตถ์ ภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี ภาคใต้ 2 จังหวัด ได้แก่ ระนอง ชุมพร สำหรับจังหวัดสกลนคร ระดับน้ำยังมีการเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำจากเทือกเขาภูพานไหลหลากลงมา ประกอบกับอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ปริมาณน้ำสูงกว่าระดับกักเก็บน้ำ ทำให้น้ำไหลทะลักท่วมพื้นที่รวม 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสกลนคร สว่างแดนดิน พังโคน เต่างอย กุสุมาลย์ พรรณานิคม และอากาศอำนวย ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ 7,863 ครัวเรือน 23,538 คน ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดสกลนคร มีจำนวนทั้งสิ้น 609 โรงงาน (โรงงานจำพวก 2 จำนวน 180 โรงงาน และโรงงานจำพวก 3 จำนวน 429 โรงงาน) จากอุทกภัยครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อโรงงาน ประมาณ 100 โรงงาน คิดเป็นร้อยละ 16.42 ของจำนวนโรงงานทั้งหมด ได้แก่ โรงงานหีบน้ำมันปาล์ม โรงสีข้าว โรงงานผลิตยางเครป โรงงานผลิตเสื้อผ้า โรงกลึง โรงงานซ่อมและเคาะพ่นสี เป็นต้น สำหรับความช่วยเหลือของภาคอุตสาหกรรม ที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ประกอบด้วย รถบรรทุกขนาดใหญ่สำหรับอพยพผู้ประสบภัยออกนอกพื้นที่ 494 คัน เครื่องสูบน้ำ 151 เครื่อง เรือ 71 ลำ และเงินบริจาค จำนวน 515,500 บาท และบางรายได้บริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม ข้าวสาร บะหมี่สำเร็จรูป ผ้าห่ม รองเท้าบูทยางกันน้ำ อาหารแปรรูป น้ำมันพืช นม น้ำตาลทราย น้ำผักและผลไม้ และยารักษาโรค เป็นต้น และขณะนี้ยังเปิดรับการช่วยเหลือจากผู้ประกอบการอยู่ อย่างไรก็ดี กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้น ดังต่อไปนี้ มาตรการเร่งด่วน 1. สำรวจพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และพื้นที่เฝ้าระวัง เพื่อให้คำแนะนำการป้องกันพร้อมแจกจ่ายคู่มือการป้องกันเครื่องจักรอุปกรณ์ที่จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วม 2. การฟื้นฟูสถานประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชน โดยความร่วมจากมหาวิทยาลัยเครือข่ายและบริษัทเอกชนใหญ่ในพื้นที่ จะเข้าร่วมทำความสะอาด ตรวจเช็คเครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และซ่อมแซมเครื่องจักรอุปกรณ์ ภายหลังน้ำลด 3. ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้กับโรงงานอุตสาหกรรม ค่าธรรมเนียมตรวจควบคุมคุณภาพ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ค่าการตรวจติดตามทั้งร้านจำหน่ายและผู้ทำ ในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ส่วนระยะเวลาที่ยกเว้นกระทรวงอุตสาหกรรมจะพิจารณาตามความเหมาะสมต่อไป 4. มอบหมายศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจภายในศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SME (SME Support and Rescue Center : SSRC) ที่อยู่ภายในสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยประสานงานการให้ความช่วยเหลือสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วม พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานกลางในการประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 5. ลูกค้าสินเชื่อโครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครับและหัตถกรรมไทยของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นลูกหนี้เดิมให้มีการพักชำระหนี้ 4 เดือน ปลอดหนี้ไม่เกิน 4 เดือน โดยลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือร้อยละ 1 ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย และวิสาหกิจชุมชน ได้มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับนำไปพัฒนาระบบการบริหารจัดการ พัฒนาการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนพัฒนาการตลาดต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ มาตรการระยะกลาง 1. เชื่อมโยงโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย กับสินเชื่อของ SME Bank โดยผ่อนปรนระยะเวลาชำระหนี้ และให้สินเชื่อ (สินเชื่ออุทกภัย) เพิ่มเติมในการฟื้นฟูกิจการรายละไม่เกิน 15 ล้านบาท (มาตรการที่ช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ SMEs ทั่วไป ทั้งนี้ SME Bank อยู่ระหว่างนำเสนอ สศค. กระทรวงการคลัง ขยายสินเชื่ออุทกภัยภาคใต้ วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ (3%) ผ่อนชำระยาวถึง 7 ปี ให้ครอบคลุม SMEs ที่ประสบอุทกภัยทั้งหมดของประเทศ) 2. ประสานไปยังผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในพื้นที่จังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบ (modern tradeทั้งหลาย) ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด และอุตสาหกรรมจังหวัดต่าง ๆ นำสินค้า มอก. (โดยเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน) มาจำหน่ายในราคาพิเศษ https://goo.gl/9Z1buW
31 ก.ค. 2017
New OTOP Entrepreneurs
(PR) VDO ประมวลภาพกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการและการเพิ่มทักษะการประกอบการภายใต้โครงการ OTOP รุ่นใหม่ (New OTOP Entrepreneurs) เป็นหนึ่งโครงการที่สุดยอดมากของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นการฝึกอบรม พัฒนา Workshop ให้แก่ผู้ประกอบการ OTOP รุ่นใหม่ ให้มีการพัฒนาด้านการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์และมุมมองแนวความคิดต่างๆ โดยกิจกรรมครั้งนี้ยังมีการพาไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นจังหวัดโออิตะ ซึ่งเป็นเมือง OVOP (One Village One Product) ต้นแบบของ OTOP ประเทศไทย
29 ก.ค. 2017
“ยุทธศาสตร์การวางแผนสำหรับธุรกิจครอบครัว”
ห้องสมุดศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7ขอแนะนำหนังสือน่าอ่าน“ยุทธศาสตร์การวางแผนสำหรับธุรกิจครอบครัว” เผยยุทธศาสตร์การทำธุรกิจครอบครัวให้ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านการดำเนินธุรกิจ และความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว เขียนโดย ศาสตราจารย์ แรนเดล เอส คาร์ล๊อค และ ศาสตราจารย์ จอนห์ แอล หวอด แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยโดย คุณอนุรัตน์ ก้องธรนินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย จำกัด (มหาชน) และหนังสือเล่มนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นหนังสือประกอบหลักสูตร “การสืบทอดธุรกิจครอบครัวอย่างยั่งยืน” ซึ่งจัดโดย สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ ร่วมกับ สถาบันพัฒนาธุรกิจครอบครัว---------------------------------------------------------- ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา ธุรกิจอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อให้มีสมรรถนะและขีดความสามารถในการประกอบการ ที่เป็นเลิศและมีความยั่งยืนสู่สากล โทรศัพท์ : (045)314135, (045)314216-7, (045)311987โทรสาร : (045)311987website : https://ipc7.dip.go.th/facebook : https://www.facebook.com/dip.ipc7----------------------------------------------------------
27 ก.ค. 2017
ห้องแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมาของ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7
ห้องแสดงตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมาของ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7
26 ก.ค. 2017
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยขยายเวลายื่นกู้ “กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีประชารัฐ”
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยขยายเวลายื่นกู้ “กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีประชารัฐ” วงเงิน 20,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1% ในพื้นที่ 62 จว. ออกไปจนถึง 30 ก.ย.60 เพื่อขยายโอกาสเอสเอ็มอีในภูมิภาคเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำได้มากและทั่วถึงยิ่งขึ้น แจงคืบหน้า ยอดเต็มจำนวนแล้ว 15 จว. จำนวนกว่า 2,100 ราย ยอด 11,000 ล้านบาท นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า ธพว. ในฐานะหน่วยงานร่วมในการบริหารงานโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ลงพื้นที่จัดงาน “คลินิกเอสเอ็มอีสัญจรตามแนวประชารัฐ” เพื่อขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือ SMEs ผ่านกองทุนต่างๆ วงเงินรวม 38,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 20,000 ล้านบาท สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของ ธพว. วงเงิน 15,000 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอี และกองทุนพลิกฟื้นของ สสว. วงเงิน 2,000 ล้านบาท และ 1,000 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับความคืบหน้าของการดำเนินงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ขณะนี้ มีผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสงค์ยื่นคำขอสินเชื่อ ผ่านทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด จำนวน 2,191 ราย วงเงิน 11,056 ล้านบาท ผู้ประกอบการยื่นคำขอสินเชื่อผ่านทาง ธพว. จำนวน 1,543 ราย วงเงิน 7,377 ล้านบาท ส่วนจังหวัดที่มีผู้ประกอบการยื่นคำขอสินเชื่อเต็มวงเงินแล้ว มีทั้งหมด 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น เชียงใหม่ ชลบุรี อุดรธานี ปทุมธานี สุรินทร์ สุโขทัย ปราจีนบุรี เชียงราย ศรีสะเกษ ประจวบคีรีขันธ์ นครปฐม ร้อยเอ็ด และ กาญจนบุรี ซึ่งกองทุนปิดรับคำขอกู้ไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อขยายโอกาสสำหรับ SMEs ที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อกองทุนฯ ดังกล่าว สำหรับจังหวัดที่ยังมีวงเงินคงเหลือนั้น จะดำเนินการ ขยายระยะเวลาปล่อยกู้ไปจนถึง 30 กันยายน 2560 รวม 62 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ เพชรบุรี พังงา สิงห์บุรี นราธิวาส ยะลา ตราด ชัยนาท ตาก นนทบุรี ปัตตานี สมุทรสาคร มหาสารคาม ระยอง สุพรรณบุรี นครพนม สมุทรปราการ สระแก้ว บึงกาฬ ภูเก็ต สงขลา กำแพงเพชร สกลนคร หนองบัวลำภู อ่างทอง บุรีรัมย์ ยโสธร นครศรีธรรมราช ชุมพร จันทบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ นครนายก อุทัยธานี พัทลุง หนองคาย ตรัง ชัยภูมิ อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี สมุทรสงคราม พิจิตร ราชบุรี ลำพูน นครราชสีมา กาฬสินธุ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ระนอง น่าน เลย สตูล มุกดาหาร ฉะเชิงเทรา อยุธยา สุราษฎร์ธานี สระบุรี พิษณุโลก กระบี่ พะเยา แพร่ และ อำนาจเจริญ ???? ขยายเวลายื่นกู้ “กองทุนพัฒนาSMEประชารัฐ” เพิ่มโอกาสธุรกิจภูมิภาคถึงแหล่งทุนดอก 1% ???? “รัฐบาลต้องการให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายเล็กๆ เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ ดังนั้น ขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติครบตามกำหนด และมีธุรกิจอยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์ของแต่ละจังหวัดที่ยังเปิดรับทั้ง 62 จังหวัดดังกล่าว ที่ประสงค์ยื่นคำขอสินเชื่อโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เร่งเข้ามาติดต่อได้ที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศในเขตพื้นที่ของท่าน หรือ ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Support & Rescue Center) หรือโทรติดต่อ Call Center 1358 หรือ 02-202-3265, 02-202-3767” นายสมชาย ระบุ ???? สำหรับกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ มีเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ระยะเวลาชำระคืน 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 3 ปี ไม่ต้องมีหลักประกัน ให้กู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย
21 ก.ค. 2017
กสอ.เตรียมเปิดศูนย์ ITC อัพเกรด SME ไทยผลิตสินค้ามูลค่าสูง
กสอ.เตรียมเปิดศูนย์ ITC อัพเกรด SME ไทยผลิตสินค้ามูลค่าสูง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เผยความพร้อมการจัดตั้งศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industry Transformation Center : ITC) ศูนย์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยน วัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบด้วยฟังก์ชั่นบริการ 4 ส่วน ได้แก่ ITC Match, ITC Innovate, ITC Share และ ITC Fund โดยการส่งเสริมทั้งหมดเหล่านี้จะถูกบรรจุเป็นการบริการในรูปแบบต่างๆ ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ประกอบการภายในศูนย์ ITC บนพื้นที่ซอยตรีมิตร ถนนพระราม 4 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในราวเดือนสิงหาคม 2560 ภายใต้งบประมาณ 924 ล้านบาท ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมในการรับผิดชอบโครงการปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่ยุคประเทศไทย 4.0 (Industry Transformation for Thailand 4.0) พร้อมด้วยการจัดตั้งศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อนาคต (Industry Transformation Center : ITC) เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมนั้น ขณะนี้ได้มีความคืบหน้าเกี่ยวกับความพร้อมในการให้บริการของศูนย์ฯรวมทั้งหน่วยงานและระบบปฏิบัติการสำหรับส่งเสริมผู้ประกอบการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยหลังจากนี้ กสอ.จะเร่งการประชาสัมพันธ์พร้อมสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวางให้เกิดขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้ประกอบการได้เห็นความสำคัญของการปฏิวัติสินค้าและบริการด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมขั้นสูงเพื่อผลักดันไปสู่ การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ โดยจะนำมาซึ่งมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลได้วางเอาไว้ สำหรับรูปแบบการทำงานของศูนย์ฯ จะไม่ได้ทำงานแค่เพียงลำพังเท่านั้น แต่จะเป็นศูนย์กลางที่ดึงหลากหลายหน่วยงานที่มีความชำนาญทางด้านการออกแบบและวิศวกรรมจากสถาบัน เครือข่ายผู้ประกอบการ สมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุนต่างๆ มาให้บริการแก่ภาคเอกชน โดยในเบื้องต้นได้รับความร่วมมือทั้ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันพลาสติก สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ซึ่งจะร่วมกันพัฒนาส่งเสริมด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่ 1.กิจกรรมปฏิรูปนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม มุ่งเน้นการปฏิรูปผลิตภัณฑ์ไปสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2.กิจกรรมปฏิรูปกระบวนการผลิตด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับอุตสาหกรรมและการพัฒนาโรงงานแห่งการเรียนรู้ ซึ่งจะมุ่งเน้นการนำโปรแกรม อุปกรณ์เครื่องมือ หรือนวัตกรรมขั้นสูงต่าง ๆ เข้าไปเปลี่ยนแปลงหรือใช้ในระบบการผลิตที่สอดคล้องกับ Global Value Chain รวมทั้งการวางระบบพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงสถานที่ที่มีความทันสมัย ตลอดจนสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ โดยใช้ต้นแบบจากผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศให้เกิดขึ้นในสถานประกอบการ โดยทั้ง 2 กิจกรรมหลักนี้ เบื้องต้นได้วางกรอบงบประมาณภาย ใต้โครงการปฏิรูปอุตสาหกรรมประเทศไทยสู่ยุค 4.0924 ล้านบาท ในการพัฒนาทั้งผู้ประกอบการ บุคลากรที่เกี่ยวข้อง สถานประกอบการ และผลิตภัณฑ์ โดยมีระยะเวลาการดำเนินงานภายใน 5 ปี ดร.พสุ กล่าวว่า สำหรับฟังก์ชั่นบริการของศูนย์ ITC มีองค์ประกอบ 4 ส่วน ได้แก่ ITC Match ศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายความ ร่วมมือระหว่างผู้นำอุตสาหกรรมระดับโลกและระดับประเทศและเครือข่าย SMEs ไทย เพื่อให้บริการความร่วมมือทางธุรกิจ การพบปะและหารือกับ LEs หรือ SMEs ของไทยเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี ชักจูงให้เกิดการลงทุนในศูนย์ฯ เพื่อพัฒนาให้ SMEs มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ITC Innovate ศูนย์สาธิตและฝึกอบรมร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการรับและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ระหว่าง Global Players และ SMEs รวมถึงการพัฒนาและบ่มเพาะให้เกิดงานวิจัยและต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ในการรับและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องจักรที่ช่วยขึ้นรูปงานต้นแบบด้วยเทคโนโลยี 3D Printer Haptic systemสามารถรองรับการบริการให้กับ SMEs และ Startup ITC Share แหล่งรวมบริการเครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ และกำลังคนที่มีทักษะสูงเพื่อสรรค์สร้างนวัตกรรม โดยจัดให้มี Co-Working Space ให้คนเข้ามาติดต่อใช้บริการ Inspiration Galley การแสดงผลงานที่ประสบความสำเร็จ Workshop ให้คนมาสร้างต้นแบบ Learning Factory ให้คนมาทดลองเรียนรู้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ITC Fund ศูนย์บริการโปรแกรมและนโยบายสนับสนุนทางการเงิน ผ่านช่องทางต่างๆ จากภาครัฐภาคเอกชนสู่ SMEs เพื่อเชื่อมโยงนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยทั้ง 4 แพลตฟอร์มจะถูกบรรจุเป็นการบริการในรูปแบบต่างๆ ในศูนย์ปฏิบัติการ ITC ซึ่งประกอบไปด้วย 1.อาคารต้นคิดสตูดิโอ อาคารเพื่อการรับและถ่ายทอดเทคโ นโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ระหว่าง Global Players และ SMEs พร้อมด้วย Co-Working Space ภายในอาคารที่ให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้พื้นที่ทำงานได้ 2.อาคารต้นกล้าสตูดิโอ อาคารสำหรับแสดงผลงาน หรือจัดนิทรรศการนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ 3.อาคารปฏิบัติการ Shop A และ Shop B ศูนย์รวบรวมเครื่องจักรและระบบต่างๆ ที่สำคัญในการต่อยอดงานต้นแบบด้วยการผลิตสินค้าทดลองในตลาดได้ โดยศูนย์จัดตั้งอยู่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซอยตรีมิตรถนนพระรามที่ 4 ซึ่งใกล้เคียงกับหน่วยงานสถาบัน เครือข่าย อาทิ สถาบันพลาสติก สถาบันสิ่งทอสถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันยานยนต์ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ยังมีหน่วยงานเอกชนที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมตั้งอยู่ โดยการรวมตัวที่เกิดขึ้นจะช่วยเอื้อประโยชน์และความสะดวกต่อการดำเนินงานในบางประเภทได้อย่างมีนัยสำคัญ ดร.พสุ กล่าวว่า ความพร้อมในการเปิดให้บริการ ในขณะนี้ได้ดำเนินกิจกรรมการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ SMEs ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ จำนวน 95 ราย ในสาขาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ 70 ราย (เพิ่มผลิตภาพด้วยหุ่นยนต์) ชิ้นส่วนอากาศยาน 10 ราย (มาตรฐาน AS9100) และเครื่องมือแพทย์ 15 ราย (ต่อยอดนวัตกรรม) ตลอดจนการเชื่อมโยงนักวิจัยและเตรียมการกับ Global Player (AGP และ MEDIANA) จำนวน 6 รายโดยเบื้องต้นคาดว่าศูนย์ฯ และบริการต่าง ๆ จะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2560 และคาดว่าน่าจะพร้อมเปิดให้บริการแก่ผู้ประกอบการ นักวิจัย และบุคคลทั่วไปเข้ามาใช้บริการได้ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ นอกจากนี้ จากแผนพัฒนาโครงการฯ ในระยะเวลา 5 ปี กสอ.คาดว่าการส่งเสริมจากศูนย์ ITC นั้นจะเป็นส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาทางด้านบุคลากรรองรับการปฏิรูปอุตสาหกรรมศักยภาพได้อย่างน้อยจำนวน 14,000 คน สามารถนำเอาความรู้ไปพัฒนาองค์กรของตนให้เข้าสู่อุตสาหกรรมศักยภาพใหม่ได้ร้อยละ 40 มีการพัฒนาสถานประกอบการได้อย่างน้อย 430 กิจการ สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นระบบ Digital ได้ร้อยละ 80 และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,720 ล้านบาท หรือประมาณ 4 ล้านบาทต่อ กิจการและสามารถพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์จะเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 125 ผลิตภัณฑ์ และต่อยอดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้กว่า 250 ล้านบาท รวมถึงเกิดความร่วมมือในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ผู้รับบริการจากหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ ในการสนับสนุนการวิจัย ฯลฯ อย่างไรก็ดี ศูนย์ ITC ยังได้ใช้งบประมาณบางส่วนของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในปี 2560 ในการเตรียมความพร้อมสถานประกอบการเพื่อการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ (Pre-Transformation) และเพื่อผลิตชิ้นงานต้นแบบและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ต่อยอดได้ในทางอุตสาหกรรมภายใต้งบประมาณ 153.4 ล้านบาทไปส่วนหนึ่งแล้ว โดยได้แบ่งใช้ในการพัฒนาในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยานและขนส่งระบบราง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมพลาสติกวิศวกรรมและไบโอพลาสติก โดยเบื้องต้นได้เกิดชิ้นงานและตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาและพร้อมต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์แล้ว อาทิ OXYGEN HOOD - อุปกรณ์การให้ออกซิเจนชนิดครอบศีรษะ,Cancer Mask – หน้ากากยึดจับสำหรับผู้ป่ วยมะเร็ง, Spacer-อุปกรณ์ช่วยพ่นยาโรคหอบหืดColostomy Bag - ชุดอุปกรณ์รองรับสิ่งขับถ่ายทวารเทียม, Flat Feet Insole แผ่นรองเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคเท้าแบน เป็นต้น สำหรับผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซอยตรีมิตร ถนนพระรามที่ 4 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 02-367-8100 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th https://goo.gl/Ti3uD2
11 ก.ค. 2017