ยูพีเอสออกมายอมรับว่า ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทสตาร์อัพด้านรถบรรทุกอัตโนมัติ TuSimple และได้ทำการทดสอบการทำงานของรถบรรทุกที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ที่ใช้ในการส่งสินค้าของ UPS ในระยะทาง 115 ไมล์ระหว่างฟินิกซ์และทูซอน ยูพีเอสยืนยันกับ Gizmodo นี่เป็นครั้งแรกที่ยูพีเอสได้ประกาศว่าได้ใช้รถบรรทุกแบบอัตโนมัติของ TuSimple เพื่อส่งพัสดุภัณฑ์ และมีการใช้มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว โดยการใช้งานระบบอัตโนมัติยังเป็นการใช้งานในส่วนของเส้นทางหลักระหว่างเมืองเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีพนักงานขับนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เพื่อทำการขับรถในส่วนที่มีความซับซ้อนของเส้นทางการเดินทาง TuSimple อ้างว่าการใช้รถบรรทุกของบริษัท สามารถลดต้นทุนการขนส่งโดยเฉลี่ยได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการร่วมลงทุนกับ UPS Ventures ไม่มีการบอกรายละเอียดของผลประโยชน์ในการร่วมลงทุนแต่อย่างใด TuSimple บอกว่าการพัฒนาในระยะต่อไป จะเป็นการเพิ่มความสามารถของรถบรรทุกในส่วนของการไปส่งของยังจุดหมายปลายทางได้อย่างสมบูรณ์ เป้าหมายคือรถจะต้องทำการขนส่งได้เองโดยไม่ต้องมีใครนั่งไปด้วย เพราะตอนนี้การขนส่งยังคงมีวิศวกรและพนักงานขับรถนั่งอยู่ในรถขณะทำการส่งของ ที่มา : www.smartsme.co.th

จากการเติบโตของกระแสอีคอมเมิร์ซ รวมถึงเทคโนโลยีในการสื่อสาร ทำให้การเติบโตของโลจิสติกส์ไทยกลายเป็นสิ่งที่น่าลงทุนสำหรับชาวต่างชาติ ดังจะเห็นได้ว่ามีผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์จากต่างชาติเข้ามาเปิดให้บริการหลายราย นี่ก็เป็นบริษัทต่างชาติอีกหนึ่งราย มิสเตอร์สปีดี้ ผู้ให้บริการด้านการโลจิสติกส์สัญชาติรัสเซีย ที่อยู่ภายใต้บริษัทดอสต้าวิสต้า (Dostavista) ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดส่งพัสดุไปรษณีย์ในประเทศรัสเซีย ปัจจุบันให้บริการด้านโลจิสติกส์ใน 11 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย, บราซิล, อินเดีย, เกาหลี, เม็กซิโก, ตุรกี, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย มาพร้อมกับแนวคิดที่ว่า "เราจะดำเนินการจัดส่งของที่สะดวกรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าการออกจากบ้าน" ทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารและจัดการโลจิสติกส์มาใช้ ทำให้สามารถส่งของถึงมือผู้รับได้ภายในวันเดียวในราคาที่ถูกลง ล่าสุดได้มีการเพิ่มทุนกว่า 500 ล้านบาท เพื่อบุกตลาดโลจิสติกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ “มิสเตอร์สปีดี้” ให้บริการในอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, เวียดนาม และประเทศไทย รูปแบบการบริการในประเทศไทย -รถมอเตอร์ไซค์ ราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท -รถยนต์ ราคาเริ่มต้นที่ 190 บาท -รถปิคอัพมีและไม่มีหลังคา ราคาเริ่มต้นที่ 380 บาท โดยลูกค้าสามารถเข้าไปใช้บริการได้ที่ www.mrspeedy.in.th หรือสามารถใช้บริการผ่านทางแอปพลิเคชัน MrSpeedy ซึ่งใช้ได้ทั้งแอนดรอยด์และไอโอเอส ที่มา : www.smartsme.co.th

สตาร์ทอัพรายนี้เสนอแผนกอบกู้เรื่องอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยการจับเอาตัวการอย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำการหมักเพื่อให้เกิดเอทานอลเกรดดี แล้วนำไปผลิตวอดก้าเกรดพรีเมี่ยม งานนี้โลกจะหยุดร้อนขึ้น แต่คนดูเหมือนจะเมาหนักกว่าเดิม บริษัทนี้มีชื่อว่าแอร์ กำลังมองหาวิธีการที่จะยกระดับเครื่องดื่มใหม่ผ่านโรงกลั่นในบรูคลิน พวกเขาได้คิดค้นวิธีการในการจับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาทำการผลิตเป็นวอดก้าชั้นดี โดยวอดก้าที่พวกเขาผลิตได้ 1 ขวดนั้นสามารถกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ปอนด์ ผู้ก่อตั้งบริษัทกล่าวถึงไอเดียนี้ว่า แทนที่จะนำสิ่งที่ผลิตได้อย่างเอทานอลเข้าสู่ตลาดของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงหรืออื่นๆ เรากำลังมองไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มของสิ่งที่เราผลิตได้ เอทานอลบริสุทธิ์ของเรามันเหมาะมากที่จะนำไปทำเป็นวอดก้าระดับพรีเมียม ส่วนโรงงานที่จะใช้ทำนั้นก็เน้นที่การใช้พลังงานสะอาดอย่างไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีแผนจะกระจายโรงงานไปยังส่วนต่างๆ ที่เป็นแหล่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย เพราะเชื่อว่าจะสามารถช่วยลดปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ในพื้นที่ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ที่มา : www.smartsme.co.th

รายงานงบทดลองหน่วยเบิกจ่ายรายเดือน ประจำเดือนธันวาคม 2564 ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

ซิลิคอนวัลเลย์เป็นแหล่งรวมบริษัทไฮเทค ที่มักจะจ้างคนทำงานด้วยเงินเดือนสูง แต่ผลกระทบที่ตามมาก็คือมันทำให้ค่าครองชีพในซานฟรานซิสโกพุ่งขึ้นสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องของราคาที่อยู่อาศัยที่เป็นปัญหาใหญ่มานานแล้ว MainStreet สตาร์ทอัพพันธุ์ใหม่ ที่ต้องการแก้ไขปัญหาของการเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง โดยนำเสนอวิธีการของการทำงานแบบ Remote ให้กับผู้คน โดยตั้งใจเอาไว้ว่าผู้คนควรจะได้ทำงานที่บ้านแต่ได้รับเงินเดือนระดับซิลิคอนวัลเลย์ MainStreet พยายามที่จะจับคู่ผู้เข้าร่วมโครงการที่เต็มใจที่จะย้ายไปนอกเมืองที่ที่มีค่าครองชีพน้อยกว่า โดยมีนายจ้างยินดีที่จะมีพนักงานที่ทำงานจากระยะไกล หากความร่วมมือนี้ประสบความสำเร็จมากขึ้นจะทำให้เมืองเล็กๆ ในอเมริกามีการเติบโตทางเศรษฐกิจ สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดตอนนี้คือ MainStreet เสนอเงื่อนไขการได้รับเงิน 10,000 เหรียญ สำหรับการย้ายไปทำงานยังเมืองเล็กๆ และยังคงได้รับเงินเดือนเท่ากับการทำงานในซิลิคอนวัลเลย์ แต่คนที่เข้าร่วมโครงการนี้จะต้องทำงานให้ครบ 12 เดือน เงิน 10,000 เหรียญถึงจะถูกโอนเข้าบัญชี แน่นอนว่าต้องเป็นการทำสัญญาว่าจ้างระหว่างบริษัทและพนักงานที่ผ่านการจับคู่ของ MainStreet เท่านั้น นอกจากการจับคู่พนักงานกับบริษัทให้แล้ว ยังมีการฝึกอบรมให้พนักงานสามารถใช้เครื่องมือที่จะช่วยในการทำงานจากระยะไกลให้อีกด้วย นี่คงเป็นคำตอบและทางออกสำหรับเมืองใหญ่ๆ ที่มีปัญหาเรื่องค่าครองชีพและการจราจรที่ติดขัด เปลี่ยนชีวิตที่ต้องอยู่บนถนนวันละไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ให้เป็นวันสบายๆ ที่คุณพร้อมจะทำงานทันทีที่ตื่นนอนดีกว่า ที่มา : www.smartsme.co.th

Atomo สตาร์ทอัพแนวใหม่ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องของรสชาติกาแฟที่เปลี่ยนตามสภาพภูมิอากาศ ให้กลายเป็นกาแฟที่มีรสชาติคงที่ โดยผ่านกระบวนในห้องทดลอง งานนี้อาจจะไม่ต้องปลูกต้นกาแฟกันอีกเลย สองผู้ก่อตั้ง Andy Kleitsch และ Jarret Stopforth มีความต้องการที่จะสร้างกาแฟที่สมบูรณ์แบบให้กับผู้บริโภค โดยมีความต้องการสร้างกาแฟที่แท้จริงที่มีรสชาติคงที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องระดับความสูงต่ำของพื้นที่ปลูก หรือความร้อนหนาวของอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป นี่คือกาแฟที่เกิดจากห้องทดลองเขาเรียกมันว่า “กาแฟโมเลกุล" มันเกิดขึ้นจากกระบวนการวิศวกรรมย้อนกลับ เพื่อค้นหาสารตั้งต้นที่จะทำให้ได้กาแฟรสชาติต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องทำการปลูกต้นกาแฟจริงๆ เพราะมีผลการศึกษาออกมาว่าการที่อุณหภูมิของโลกเปลี่ยน จะส่งผลให้กาแฟหลายชนิดอาจสูญพันธุ์ วิธีการนี้คือหนึ่งในรูปแบบของการเก็บรักษารสชาติกาแฟจากที่ต่างๆ เอาไว้ Atomo ทำการทดลองมากมายหลายร้อยครั้งเพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่า "องค์ประกอบหลักของกาแฟ” แล้วทำการสร้างกาแฟของพวกเขาขึ้นมาจากสินค้าเกษตรชนิดอื่นอย่าง เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดแตงโม, อะคาเซีย และคาเฟอีนธรรมชาติ จากการทดสอบกับผู้คนทั่วไปพบว่า ส่วนใหญ่จะบอกว่ามันมีรสหวานมากกว่ากาแฟแบบ cold brews ที่วางขายทั่วไป ซึ่ง Atomo บอกว่ารสหวานเป็นความตั้่งใจที่ทำออกมา เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเติมน้ำตาลลงในกาแฟของพวกเขา Atomo วางแผนที่จะจัดส่งกาแฟแบบ cold brews ชุดแรกให้กับผู้ร่วมลงทุนใน Kickstarter ในต้นปี 2020 และหวังว่าจะเริ่มวางขายในกลางปีหน้า ที่มา : www.smartsme.co.th

Intel Corpได้ทำการซื้อ บริษัทฮาบาน่าแล็บซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ในอิสราเอล ในมูลค่าสูงถึง พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเสริมศักยภาพทางการแข่งขัน ตลาดชิปของ intel ขึ้นอยู่กับยอดขายของอุปกรณ์ในศูนย์ข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว และมีแนวโน้วจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ยอดขายชิปบนเครื่องพีซีลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Intel ต้องมองหานวัตกรรมที่จะสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของตนเอง โดยเฉพาะการแข่งขันในเรื่องของชิปด้าน AI ที่กลายเป็นการแข่งขันกันในอนาคต บริษัทฮาบาน่าก่อตั้งในปี 2016 เป็นสตาร์ทอัพที่ทำเกี่ยวกับชิปด้าน AI ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการทำ Deep Learning ของ AI ซึ่งความสามารถนี้บรรดาศูนย์ข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลกมีความต้องการสูง เพราะนับวันจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ AI ถูกนำมาใช้ในการบริหารจัดการมากขึ้น อย่างไรก็ตามทีมงานของฮาบาน่าจะยังคงทำงานต่อไปตามปกติ เพิ่มขึ้นมาก็เป็นเรื่องการรายงานผลความคืบหน้าต่าง ๆ ที่ต้องส่งให้ Intel เท่านั้น นี่คือสตาร์ทอัพอีกแห่งหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไปแล้วในการถูกซื้อ ที่มา : www.smartsme.co.th

สตาร์ทอัพในประเทศอังกฤษคิดค้นวิธีในการจัดการกับพนักงานจอมอู้ทั้งหลาย ที่ชอบเข้าไปนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือในห้องน้ำเป็นเวลานาน StandardToilet เป็นผลงานของบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศอังกฤษ ที่มาพร้อมกับแนวคิดที่ว่า อยากให้คนที่เข้าห้องน้ำรีบวางโทรศัพท์มือถือแล้วกลับไปทำงานโดยเร็ว ส่วนวิธีการนั้นก็คือห้องน้ำแบบใหม่นี้จะมีพื้นที่่ลาดเอียงไปข้างหน้า 13 องศา ซึ่งจะสร้างความไม่สบายให้กับคนที่นั่งเกิน 5 นาที แนวคิดนี้กำลังถูกถกเถียงกันมากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายเสียงบอกว่า มันก็มีพนักงานบางคนที่ชอบเข้าไปนั่งอู้งานในห้องน้ำจริง แต่ก็มีอีกหลายคนที่มีความจำเป็น หากห้องน้ำกลายเป็นที่ที่นั่งไม่สบายแล้วคนที่มีความจำเป็นต้องนั่งนาน ๆ จะมีปัญหาได้ การจะนำมาใช้ต้องคิดให้รอบคอบ และหวังว่ามันคงจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงห้องน้ำทุกแห่งให้กลายเป็นแบบนี้ สตาร์ทอัพก็ทำงานตามหน้าที่ เมื่อมีปัญหาให้แก้ไขก็ต้องมีการนำเสนอทางออกให้ ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ตลาดให้การยอมรับหรือไม่ เจอแบบนี้ห้องสุขาอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ก็เป็นได้ ที่มา : www.smartsme.co.th

Tech Startup กำลังมีบทบาทสำคัญในยุคดิจิตอล2016 ซึ่งนอกจากความคิดสร้างสรรค์แล้ว เทคโนโลยียังเป็นแรงขับเคลื่อนให้ธุรกิจยุคใหม่ มีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ หรือ ธุรกิจต้นแบบ ที่แตกต่างไป มีตลาดที่ใหญ่ขึ้น และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้มากขึ้น ในวันนี้ Tech Startup ไทยกำลังเติบโต และเป็นที่จับตามองในระดับภูมิภาค ดังนั้นการรวมกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีรายใหม่ จำเป็นที่จะต้องใส่ใจกับรายละเอียดของกลุ่มผู้บริโภคว่าพวกเขาต้องการอะไร และเราสามารถแก้ไขปัญหาให้พวกเขาได้ตรงจุดหรือไม่ โดยจะมีหลักการที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จดังนี้ 1.เรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ 2.ต้องวางแผนธุรกิจต้นแบบอย่างรอบคอบ เพื่อให้คู่ค้าทางธุรกิจและผู้บริโภคเชื่อมั่นในสินค้าเรา 3.การสร้างความแตกต่างที่ไม่เหมือนใคร แต่สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคได้จริง คุณวีระยุทธ เชื้อไทย รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมธุรกิจ SME (ผ่านสื่ออนไลน์) ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจ SMEs สำนักงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น Tech Startup หรือ ผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นต้องมีแผนที่ในการเดินทาง เปรียบว่า ถ้ามีผู้ชี้แนะและให้คำปรึกษาในเรื่องการทำธุรกิจก็จะก็ไม่เกิดอุปสรรคต่างๆ หากคุณต้องการสร้างหรือต่อยอดธุรกิจให้ประสบความสำเร็จสามารถหาคำตอบได้ในงาน SMART SME EXPO 2016 ภายในงานคุณจะได้พบกับที่ปรึกษาธุรกิจ , สถาบันการเงินชั้นนำ , กิจกรรมต่างๆที่มีวิทยากรมาให้ความรู้ในการสร้างสรรค์ธุรกิจ และพบคู่ค้าธุรกิจอีกมากมาย ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2559 ณ ชาเลนเจอร์ 3 อิมแพคเมืองทองธานี ที่มา : www.smartsme.co.th

บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งงบลงทุนในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร (Foodtech) จำนวน 1,000 ล้านบาท โดยร่วมมือกับ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ส และ 500 TukTuks เพื่อหาผู้พัฒนา Foodtech ที่มีไอเดียน่าสนใจและนำมาต่อยอดกับธุรกิจอาหารของกลุ่มไมเนอร์ โดยเปิดกว้างให้กับสตาร์ทอัพต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจอาหารในกลุ่มไมเนอร์ บริษัทได้เห็นถึงสภาพแวดล้อมของธุรกิจในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว ทำให้บริษัทต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อธุรกิจของบริษัท ทำให้บริษัทต้องจับมือกับนักพัฒนาและดิสรัปท์เทอร์ เพื่อค้นหาแนวทางในการช่วยสร้างการเจริญเติบโต และสานต่อการดำเนินธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะเชื่อว่าธุรกิจจะอยู่รอดจะต้องมีนวัตกรรมที่ดีและปรับตัวให้เร็วที่สุด ไมเนอร์ มองว่า Foodtech จะเป็นหนึ่งในส่วนของการต่อสู้กับ disruption ที่น่าสนใจ เพราะมีมูลค่าสูงถึง 1.6 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโต 20% ต่อปี ขณะที่คาดว่าภายในปี 65 การเติบโตของ Foodtech จะปฏิวัติและมีส่วนเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ทั้งหมดของธุรกิจอาหาร ไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ ไปจนถึงลูกค้า จึงนับเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่ได้รับการขนานนามว่า "ครัวโลก" จะได้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมของธุรกิจค้าปลีกและอาหารของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารมีศักยภาพในการช่วยผลักดันสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศไทยได้ ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้ของธุรกิจอาหารอยู่ที่ 38% สัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรม 55% และสัดส่วนรายได้ธุรกิจจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ 7% ซึ่งการนำ Foodtech เข้ามานอกเหนือจะช่วยเพิ่มการเติบโตรายได้ของธุรกิจอาหารแล้ว อาจจะยังสามารถช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจอาหารให้มากขึ้นได้ โดยที่เบื้องต้นในปี 62 บริษัทจะใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งราว 100 ล้านบาท จากงบลงทุน Foodtech ที่วางไว้ 1,000 ล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน Foodtech ซึ่งเป็นงบลงทุนนอกเหนือจากงบลงทุนปกติที่บริษัทวางไว้ 4-5 หมี่นล้านบาท ใน 5 ปี (ปี 61-65) ที่มา : www.smartsme.co.th