Tesla เร่งโปรเจ็กต์ เฟ้นหาหัวหน้าฝ่ายออกแบบรถยนต์ เจาะตลาดแดนมังกร
ผสาน 2 วัฒนธรรม! Tesla เฟ้นหาหัวหน้าฝ่ายออกแบบ สร้างรถยนต์เจาะตลาดแดนมังกร เล็งเปิดศูนย์ “ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้” วางคอนเซ็ปต์ เชื่อมช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเดินอย่างเต็มกำลังในการเจาะตลาดแดนมังกร สำหรับบริษัท Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้า ที่ล่าสุดมีการเปิดเผยว่ากำลังเฟ้นหาค้นหาผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบในประเทศจีน สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า โปรเจ็กต์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเปิดสำนักงาน ด้วย “ฟังก์ชันเต็มรูปแบบ” ในเซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่ง และออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับให้เหมาะกับรสนิยมของผู้บริโภคชาวจีน รายงานระบุว่า ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Tesla ตลอดจนทีมงานคัดเลือกบุคลากรได้ดำเนินการเรื่องนี้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา พวกเขากำลังมองหาผู้มี "สองวัฒนธรรม" ในวิถีตะวันตก-ตะวันออก ประสบการณ์ 20 ปีขึ้นไป คุ้นเคยกับรสนิยมของชาวจีนและเชื่อมช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครบางคนได้รับการสัมภาษณ์โดย Franz von Holzhausen หัวหน้าฝ่ายออกแบบระดับโลกของ Tesla อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ถึงศักยภาพของผู้สมัครและการตัดสินใจของทาง Tesla ว่าได้คนที่เหมาะสมหรือยัง โดยแผนการผลิตรถยนต์ในจีนยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีการประเมินว่า Tesla น่าจะรอความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน (ก่อนหน้านี้เคยตึงเครียด) ภายใต้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องละเอียดทั้งหมด ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่าจะมียอดขาย 1.5 ล้านคันในปีนี้ นอกจากนี้ยังเป็นตลาดอันดับ 2 ของ Tesla รองจากสหรัฐอเมริกา โดยผู้บริโภคชาวจีนซื้อรถ Tesla ราว 145,000 คันในปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของปริมาณรถยนต์ทั่วโลก ที่มา : Reuters, https://www.smartsme.co.th/content/243365
24 มี.ค. 2565
หนีจีน! Apple ย้ายฐานผลิต iPhone-iPad ไปอินเดีย เวียดนาม
Apple เตรียมปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตครั้งยิ่งใหญ่ โดยย้ายฐานผลิตสินค้าที่สำคัญออกจากประเทศจีน เพื่อกระจายห่วงโซ่การผลิตออกไปประเทศอื่น ตามรายงานของ asia.nikkei.com ระบุว่า Apple เตรียมที่จะย้ายฐานผลิตสินค้าไม่ว่าจะเป็น iPhones, iPads, Macs ออกจากจีน เป็นการส่งสัญญาณว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีพร้อมที่จะกระจายห่วงโซ่การผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ แม้ว่าจะมีความหวังที่จะเห็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน มีความตึงเครียดน้อยลง ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แหล่งข่าว เผยว่า ผลิตภัณฑ์ iPad จะถูกย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนามก่อนกลางปีนี้ นับเป็นครั้งแรกผู้ผลิตแท็บเล็ตรายใหญ่ของโลกรายนี้ย้ายฐานผลิตออกจากจีน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ Apple เพิ่มการผลิตในอินเดีย รวมถึง iPhone 12 ที่มีรายงานว่าจะเริ่มผลิตในต้นไตรมาสนี้ หลายบริษัทของสหรัฐฯ มีภาพความเจ็บปวดจากกรณีสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องมองหาฐานการผลิตในประเทศอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีน อย่างไรก็ตาม การมาของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ยังไม่มีการลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนโดยทันที และด้วยปัจจัยค่าแรงที่มีอัตราสูง จึงเป็นที่มาให้ Apple ต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ก่อนหน้านี้ Foxcoonn บริษัทผู้ผลิตและรับผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับ Apple ทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยมุ่งเป้าไปที่ เวียดนาม ที่มีการลงทุนสร้างโรงงานเพื่อใช้เป็นฐานการผลิต iPad กับ MacBook รวมถึงอินเดียที่เพิ่มการผลิต iPhone 12 จนกลายเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าให้กับ Apple มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ทั้งนี้ การกระจายฐานผลิตสินค้าของ Apple ออกไปยังประเทศอื่น ๆ มีจุดประสงค์เพื่อลดการพึ่งพาจีน หลังต้องพบปัญหาในเรื่องของสงครามการค้า และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ซัพพลายเออร์ในจีนได้รับผลกระทบ ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามกำหนด ที่มา: asia.nikkei, theverge, reuters, https://www.smartsme.co.th/content/243582
23 มี.ค. 2565
“Timekettle WT2 Edge” หูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่ทำให้การคุยกับคนต่างชาติไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ทุกวันนี้เทคโนโลยีสามารถทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย หากใครไม่มีทักษะ ไม่ต้องกลัว เพราะเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้คุณเอง อย่างกรณีศึกษาที่ยกขึ้นมาในบทความนี้ ที่ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งจะมีหูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ให้ผู้ใช้สนทนากับชาวต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่ว หูฟังนี้มีชื่อว่า "Timekettle WT2 Edge” ที่มีคุณสมบัติแปลภาษาแบบเรียลไทม์คล้ายกับวุ้นแปลภาษาของการ์ตูนชื่อดัง โดราเอมอน ความพิเศษของหูฟังรุ่นนี้ คือแปลภาษาได้ถึง 40 ภาษา และ 93 สำเนียง ภายในระยะเวลา 0.5-3 วินาที นอกจากนี้ ยังแปลภาษาได้ 7 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, สเปน, รัสเซีย และฝรั่งเศส แม้ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หลายคนเห็นแล้วอาจตั้งคำถามว่า หูฟัง Timekettle WT2 Edge มีความแม่นยำในเรื่องการแปลภาษามากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะผู้ผลิตพัฒนาหูฟังนี้ โดยการนำเครื่องมือแปลภาษา 6 ตัว ประกอบด้วย DeepL, Google, Microsoft, iFlytek, AmiVoice และ Hoya รวมถึงเครื่องแปลภาษา Timekettle เพื่อให้ได้สำนวนออกมาอย่างใกล้เคียงที่สุด และมีความแม่นยำในการแปล 95% แน่นอนว่าหูฟัง Timekettle WT2 Edge เหมาะกับผู้ที่ต้องติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ ซึ่งสามารถแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างคล่องตัว โดยวิธีการใช้งานก็มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดเพียงเสียบหูฟังไว้ที่หู เมื่อมีการสนทนาเริ่มขึ้น ข้อความจะถูกแปลผ่านเสียงของผู้สนทนา อีกทั้ง ผู้ใช้สามารถนำหูฟังอีกข้างให้กับคู่สนทนาเพื่อให้รู้ถึงข้อความที่ต้องการสื่อสาร ด้านแบตเตอรี่ หูฟัง Timekettle WT2 Edge ใช้งานต่อเนื่องสูงสุด 3 ชั่วโมง (กรณีชาร์จครั้งเดียว) และใช้งานได้ถึง 12 ชั่วโมง เมื่อรวมกับแบตเตอรี่ในเคส ทั้งนี้ ราคาเปิดขายหูฟัง Timekettle WT2 Edge รุ่น Early bird จะอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,200 บาท) ที่มา: indiegogo https://www.smartsme.co.th/content/243628
22 มี.ค. 2565
ซีอีโอ Nissan ยอมรับชิปขาดตลาดส่งผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์ เช่นเดียวกับNissan ที่ออกมายอมรับว่าได้รับผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์ Makoto Uchida ซีอีโอของ Nissan ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC โดยยอมรับว่าปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ทั้งใน และต่างประเทศ ความต้องการแก็ตเจต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เซมิคอนดักเตอร์ขาดตลาดไปทั่วโลก สิ่งนี้กระทบอย่างยิ่งกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก “เราทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดผลกระทบนี้ และจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับการผลิตของธุรกิจ เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” Makoto Uchida กล่าว นอกจากนี้ ซีอีโอ Nissan ยังกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งกำลังเป็นเทรนด์อยู่ ณ ตอนนี้ว่า Nissan ให้ความสำคัญกับยานยนต์ไฟฟ้าต่ออนาคตของบริษัท โดยบริษัทพร้อมจะสร้างจุดแข็งการผลิต และนำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% วางขายสู่ตลาดก่อนปี 2030 ความคิดเห็นของ Makoto Uchida สอดคล้องกับคำพูดที่เจ้าตัวเคยพูดไว้เมื่อปลายเดือนมกราคม ว่าญี่ปุ่น, ยุโรป, สหรัฐฯ และจีน จะเป็นตลาดหลักของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ 3 เดือนสุดท้ายของปี 2020 Nissan มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 27.1 พันล้านเยน เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่มีกำไร 22.7 พันล้านเยน ที่มา: CNBC https://www.smartsme.co.th/content/243637
21 มี.ค. 2565
เราไม่ทิ้งกัน! Google ลงทุน 2.2 พันล้าน ช่วย SME สู้โควิด-19
ยักษ์ใหญ่ใจป๋า! Google ประกาศลงทุนกว่า 2.2 พันล้านบาท ผ่านกองทุนเงินกู้ยืม หวังช่วยธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก สู้วิกฤติโควิด-19 กว่า 1 ปีที่ผ่านมากับสถานการณ์โควิด-19 ภาคธุรกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME ซึ่งมีไม่น้อยที่ได้ปิดตัวลง รวมถึงต้องปรับตัวเพื่ออยู่ให้รอดในภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ แต่ท่ามกลางวิกฤติก็ได้มีข่าวดีเกิดขึ้น เมื่อองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง Google ได้ประกาศร่วมมือกับ European Investment Fund (EIF) ซึ่งเป็นองค์กรด้านการให้กู้ยืมเงินของสหภาพยุโรป กับอีก 2 องค์กรในละตินอเมริกาและเอเชีย ระดมเงินทุนราว 75 ล้านดอลลาร์ (2.2 พันล้านบาท) เพื่อช่วยบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 Google เปิดเผยว่าจะลงทุนในกองทุน EIF สองกองทุนโดยให้เงินกู้ยืม 15 ล้านดอลลาร์แก่ธุรกิจขนาดเล็กในยุโรป 1,000 แห่ง และอีก 10 ล้านดอลลาร์ในกองทุนร่วมของ EIF ที่สนับสนุนบริษัทด้านเวชภัณฑ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการให้บริการทางสาธารณสุข 200 แห่ง ในละตินอเมริกา Google จะทำงานร่วมกับ Inter-American Development Bank เพื่อจัดสรรเงินจำนวน 8 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทขนาดเล็ก นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดเล็กในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย จะได้รับการช่วยเหลือจากโครงการเงินกู้มูลค่า 26 ล้านดอลลาร์ ผ่านองค์กรระดมเงินกู้ Kiva และจัดสรรอีก 15 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กในอินเดีย ที่มา : reuters https://www.smartsme.co.th/content/243699
20 มี.ค. 2565
แอปฯ “Clubhouse” ถูกอ้างส่งข้อมูลผู้ใช้งานให้ทางการจีน
แม้ว่าแอปพลิเคชัน Clubhouse จะได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่มีคนดังในแต่ละวงการใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นช่องทางสื่อสารสนทนากัน แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีการตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวว่าจะเกิดการรั่วไหลถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่ 3 หรือไม่ หลังจากรายงานของ Stanford Internet Observatory (SIOX) ที่ออกมาระบุว่า บริษัท Agora บริษัทสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้ดูแลระบบหลังบ้านให้กับแอปฯ Clubhouse ซึ่งข้อมูลทุกอย่างจะถูกส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ในจีน นอกจากนี้ ระบบป้องกันข้อมูลยังพบว่า Clubhouse มีการส่งต่อข้อมูลขึ้นเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องเข้ารหัสข้อมูล ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้บุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น รายงานยังเผยอีกว่า Agora ได้เปลี่ยนแปลงตัวเลข ID Number และเข้าถึงห้องสนทนากับผู้ใช้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะนำข้อมูลเหล่านี้ส่งต่อไปให้กับรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม Agora ออกมาปฏิเสธ โดยชี้แจงว่าบริษัทไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Clubhouse ตามที่รายงานระบุไว้ ซึ่งบริษัทจะไม่เก็บข้อมูลเสียง และไม่มีการจัดเก็บข้อมูลไว้ในจีน แต่จะเก็บไว้ในสหรัฐฯ นั่นหมายความว่า หากทางการจีนต้องการข้อมูลก็จะต้องส่งเรื่องไปทางรัฐบาลสหรัฐฯ ตามข้อตกลง U.S.-China Mutual Legal Assistance Agreement (MLAA) ดูแบบนี้แล้วจึงเป็นเรื่องยาก ย้อนกลับไปต้นเดือนกุมภาพันธ์ แอปพลิเคชัน “Clubhouse” ถูกแบนในจีน หลังมีการตรวจพบว่ามีการสร้างห้องสนทนาพูดคุยเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ทั้ง เรื่องสิทธิมนุษยชน, การเมืองฮ่องกง, อุยกูร์, การเรียกร้องประชาธิปไตยในไต้หวัน ทั้งนี้ หลังจากแอปพลิเคชัน Clubhouse กลายเป็นที่นิยมของผู้ที่อยากสร้างคอนเทนต์ จึงทำให้ Agora มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย ที่มา: stanford https://www.smartsme.co.th/content/243701
19 มี.ค. 2565
ทลายข้อจำกัด! Clubhouse รุกต่อเนื่องจ้างทีมงานพัฒนาแอปฯ ขยายบริการสู่แอนดรอยด์
แอปพลิเคชัน Clubhouse กลายเป็นแอปฯ ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ในประเทศ ณ ขณะนี้ และเป็นกิจวัตรประจำวันต้องเข้าไปฟังประเด็นน่าสนใจในห้องต่าง ๆ ตามความชื่นชอบ อย่างไรก็ตาม Clubhouse ยังมีข้อจำกัดอยู่ที่สามารถโหลดใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการ iOS เท่านั้น เพื่อรองรับการเติบโตของแอปฯ ในอนาคต ทำให้ Paul Davison และ Rohan Seth ผู้ก่อตั้งแอปฯ Clubhouse เตรียมจ้างนักพัฒนาซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เข้ามาขยายบริการไปสู่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ โดยเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เมื่อ Mopewa Ogundipe นักพัฒนาแอปฯ ชื่อดังที่ร่วมพัฒนาแอปฯ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Khan Academy และ Medium ทวีตข้อความว่า “วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ร่วมงานกับ Clubhouse” Clubhouse เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2020 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่ร้อนแรงที่สุดใน Silicon Valley โดยเป็นพื้นที่สำหรับผู้ใช้ได้รวมตัวกันพูดคุยเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านเสียงสนทนา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี และมีนักธุรกิจระดับโลกอย่าง Elon Musk ใช้เช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการใช้งานที่อนุญาตให้เฉพาะ iPhone เท่านั้น แม้ว่าจะมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนต่อสัปดาห์ แต่ Clubhouse ยังมองตลาดไปไกลกว่านั้น โดยบริษัทเตรียมพัฒนาแอปพลิเคชัน ให้ใช้งานได้กับระบบแอนดรอยด์ หลังได้รับเงินทุนจากบริษัท Andreessen Horowitz เป็นเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ดังนั้น การขยายบริการสู่แอนดรอยด์จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่มา: CNBC https://www.smartsme.co.th/content/243747
18 มี.ค. 2565
สหรัฐฯ เตือน “บิทคอยน์” เก็งกำไรสูง-ไม่มีประสิทธิภาพทำธุรกรรม
เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เตือนว่า “บิทคอยน์” (Bitcoin) สกุลเงินดิจิทัลชั้นนำของโลก เป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงและไม่มีประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมอย่างยิ่ง “มันเป็นสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงและผู้คนควรตระหนักว่ามันอาจมีความผันผวนอย่างมาก ดิฉันกังวลว่านักลงทุนอาจเผชิญการขาดทุนก็เป็นได้” เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการประชุมนิวยอร์กไทม์ส ดีลบุก (New York Times DealBook) เยลเลนแสดงความกังวลว่าบิทคอยน์อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก และการประมวลผลธุรกรรมเหล่านั้นก็ใช้พลังงานปริมาณมาก ความคิดเห็นของเยลเลนมีขึ้นขณะราคาบิทคอยน์ตกลงถึงร้อยละ 17 อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 48,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.44 ล้านบาท) เมื่อวันจันทร์ (22 ก.พ.) หลังจากพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่มากกว่า 58,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.74 ล้านบาท) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนหลายแห่ง ระบุว่าแม้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบิทคอยน์อยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 30 ล้านล้านบาท) เมื่อวันศุกร์ (19 ก.พ.) แต่บิทคอยน์ยังคงห่างไกลจากการเป็นสินทรัพย์การลงทุนหลัก ทั้งยังเกิดความเสี่ยงจากการประเมินราคาสูงเกินจริงและความผันผวนของราคา “ความจริงคือไม่มีใครทราบว่ามูลค่าของสินทรัพย์ปลอมประเภทนี้คืออะไร มันไม่มีมูลค่าใดๆ เพราะว่ามันไม่มีรายได้และไม่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นการเล่นเก็งกำไรบนฟองสบู่ตามความคาดหวังของตัวเอง” นูเรียล รูบินี นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง กล่าวกับยูฮู ไฟแนนซ์ ไลฟ์ ที่มา: สำนักข่าวซินหัว https://www.smartsme.co.th/content/243762
17 มี.ค. 2565
“Netflix” ทดสอบฟีเจอร์ใหม่ จำกัดการแชร์ Account
คนเนียนแอบดู เกม! “Netflix” ทดสอบมาตรการ จำกัดการแชร์แอกเคาน์ เฉพาะครัวเรือนเดียวกัน ใครไม่เกี่ยวแต่รู้ Passwords อดดู Netflix Inc สตรีมมิงยักษ์ใหญ่กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ โดยขอให้ผู้ซื้อแพ็กเกจตรวจสอบว่าผู้เข้าชมรายอื่นนั้นเกี่ยวข้องกับเจ้าของบัญชีจริงๆ หรือไม่ ซึ่งวิธีการนี้อาจนำไปสู่การระงับรหัสผ่านที่แบ่งปันกันออกไปในหลายๆ คน ขณะนี้มีผู้ใช้ Netflix จำนวนไม่น้อยได้รับข้อความขอให้ยืนยันว่าอาศัยอยู่กับเจ้าของบัญชี โดยต้องป้อนรายละเอียดเป็นตัวอักษร หรืออีเมลที่ส่งถึงเจ้าของ “การทดสอบนี้จะช่วยให้แน่ใจ ว่าผู้ที่ใช้บัญชี Netflix ได้รับอนุญาตจากเราแล้ว” โฆษก Netflix กล่าว ทั้งนี้ ข้อกำหนดในการให้บริการของ Netflix ระบุว่า ผู้ใช้บัญชีจะต้องอาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าการตรวจสอบนี้จะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้นหรือไม่ ที่มา: reuters, https://www.smartsme.co.th/content/243860
16 มี.ค. 2565
เดิมพันครั้งสำคัญ Nokia ปรับโครงสร้างลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง ทุ่มทุนเป็นผู้นำ 5G
หากย้อนกลับไปในช่วง 20 ปีที่แล้ว แบรนด์มือถือยอดนิยมของผู้คนในยุคนั้นคงหนีไม่พ้น Nokia ที่ครองตลาดมือถือด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักแบรนด์ Nokia อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่พัฒนานาอย่างก้าวกระโดด การเข้ามาของคู่แข่งในตลาดอย่าง iPhone และระบบแอนดรอยด์ ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางธุรกิจจากที่เคยรุ่งสุดขีดกลับร่วงลงมาเป็นธุรกิจสัญญาณเครือข่ายเท่านั้น แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการปรับปรุง และพัฒนาระบบปฏิบัติการให้มีความทันสมัยแล้วก็ตาม มาวันนี้ Nokia เดิมพันครั้งสำคัญของธุรกิจ เมื่อมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยการปรับลดพนักงาน 10,000 ตำแหน่ง ภายในระยะเวลา 2 ปี และพร้อมเข้าสู่ตลาดการแข่งขันเครือข่ายสัญญาณ 5G สำหรับการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ของ Nokia คาดการณ์ว่าจะลดต้นทุนได้ 600 ล้านยูโร (715 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ภายในปี 2023 โดยการตัดสินใจของผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายนี้ที่ลดพนักงานมากถึง 10% เป็นผลมาจากผลประกอบการในรายงานประจำปีที่นักลงทุนต่างผิดหวังกับรายได้ของการดำเนินธุรกิจ ไม่เพียงเท่านั้น Pekka Lundmark ซีอีโอของ Nokia วางแผนชัดเจนที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน มีผลกำไร และรีเซตระบบเพิ่มฐานต้นทุนของการลงทุนในอนาคต โดยพร้อมมุ่งไปที่เครือข่าย 5G กับเป้าหมายการเป็นผู้นำในตลาดนี้ ด้านสถานการณ์การแข่งขันในตลาดเครือข่าย 5G ตอนนี้ พบว่ามีการแข่งขันที่ดุเดือน ไม่ว่าจะเป็น Ericsson, Huawei รวมถึง Samsung ที่เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ พร้อมเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งต้องมาดูกันว่าสุดท้าย Nokia จะสามารถพลิกธุรกิจให้กลับมาผงาดได้อีกครั้งตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ได้หรือไม่ ต้องมาคอยติดตามกัน ที่มา : bloomberg https://www.smartsme.co.th/content/243885
15 มี.ค. 2565