โทรศัพท์ 1358
พจนานุกรมคอลลินส์ ยก "lockdown" เป็นคำแห่งปี 2020
พจนานุกรมคอลลินส์ ยก "lockdown" เป็นคำแห่งปี 2020
ประสบการร่วมคนทั้งโลก! พจนานุกรมคอลลินส์ (Collins Dictionary) ยกให้ "Lockdown" (ล็อกดาวน์) เป็นคำศัพท์แห่งปี 2020 เผย ถูกค้นหามากถึง 250,000 ครั้ง สื่อต่างประเทศรายงานข่าวที่น่าสนใจ ระบุว่า พจนานุกรมคอลลินส์ (Collins Dictionary) ยกให้ "Lockdown" (ล็อกดาวน์)เป็นคำศัพท์แห่งปี 2020 หลังจากมีการใช้งานคำนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทีมงานพจนานุกรมคคอลลินส์ ระบุว่า มีการใช้คำนี้เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีผู้คนหลายจำนวนพันล้าน ที่ต้องจำกัดกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันตั้งแต่การระบาดไวรัสโควิด-19 โดยในปีนี้คำว่า “Lockdown” ถูกค้นหาราว 250,000 ครั้ง เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากเดิมที่มีจากการค้นหาเพียง 4,000 ครั้งเมื่อปี 2019 โดยพจนานุกรมคอลลินส์ ให้ความหมาย “Lockdown” ไว้ว่า “การปิดกั้น หรือการกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดในการเดินทาง การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการเข้าถึงพื้นที่สาธารณะ” ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ร่วมของผู้คนทั้งโลก เนื่องจากรัฐบาลทุกปะรเทศในการล็อกดาวน์ตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ทั้งนี้ มีคำศัพท์อีก 6 คำใน 10 อันดับแรกประจำปี 2020 ของพจนานุกรมคอลลินส์ ที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบไปด้วย Coronavirus (โคโรนาไวรัส) Self-isolate (การกักตัวเองเมื่อสงสัยติดเชื้อ) Social Distancing (การรักษาระยะห่างทางสังคม) Furlough (การสั่งพักงานชั่วคราว) Key worker (ลูกจ้างหรือพนักงานคนสำคัญ) ที่มา : eveningexpress, collinsdictionary, https://www.smartsme.co.th/content/242342
27 มี.ค. 2565
Tesla พร้อมบุกตลาดอาเซียน ล่าสุดเตรียมปิดดีลโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซีย
Tesla พร้อมบุกตลาดอาเซียน ล่าสุดเตรียมปิดดีลโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในอินโดนีเซีย
ย้อนกลับไปเมื่อไม่นาน Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ มีข่าวเชื่อมโยงว่าจะเข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศไทย เพื่อขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้นในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดี และเอื้อประโยชน์ต่อการเข้าไปลงทุน สำหรับประเทศไทย ถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ Tesla ต้องการเข้ามาลงทุนในด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการลงทุน และการส่งเสริมการลงทุนมายังรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า Tesla จะไม่ได้มองแค่การเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงในส่วนของการตั้งโรงงานแบตเตอรี่ในอินโดนีเซียอีกด้วย เริ่มแรก Tesla มีการพูดคุยกับรัฐบาลอินโดนีเซียถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าลงทุน “แร่นิกเกิล” ต่อมาได้มีการขยายการพูดคุยไปถึงขั้นการผลิตโรงงานแบตเตอรี่ โดยเหตุผลที่ทำให้ Tesla ให้ความสนใจอินโดนีเซียเป็นพิเศษ คืออินโดนีเซียเป็นแหล่งผลิต “แร่นิกเกิล” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับนำมาผลิตแบตเตอรี่ สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ Joko Widodo ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ที่ระบุว่ามีการเตรียมเจรจาพูดคุยกันระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งอินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีแร่นิกเกิลมากที่สุดในโลก และพร้อมที่จะเป็นผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค หาก Tesla สามารถเข้ามาเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ จะช่วยกระตุ้นความคึกครื้นในเรื่องของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกเข้ามาลงทุน ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงาน หลังจากต้องได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มา : https://www.smartsme.co.th/content/242443
26 มี.ค. 2565
ยังไม่จบ! Apple เริ่มย้ายฐานผลิตบางส่วนจากจีนไปเวียดนาม ลดความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า
ยังไม่จบ! Apple เริ่มย้ายฐานผลิตบางส่วนจากจีนไปเวียดนาม ลดความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า
Foxconn เตรียมย้ายฐานผลิต iPad และ MacBook จากจีนไปยังเวียดนามตามความต้องการของ Apple เพื่อลดแรงกระทบในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน การย้ายโรงงานในครั้งนี้ของ Foxconn เป็นผลมาจากนโยบายสงครามการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้บริษัทจากสหรัฐฯ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยมุ่งเป้าไปที่การเก็บภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากจีนในอตราที่สูง รวมถึงการแบนแพลตฟอร์มเทคโนโลยีจากจีนด้วยเหตุผลเป็นภัยด้านความมั่นคงต่อชาติ ดังนั้น จึงทำให้ Foxconn ตัดสินใจหลีกเลี่ยงปัญหาสงครามการค้า พิจารณาย้ายฐานผลิตบางส่วนออกจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม, เม็กซิโก และอินเดีย โดยล่าสุด Foxconn เตรียมย้ายฐานผลิตอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น iPad และ Macbook ไปยังโรงงานในจังหวัด Bac Giang ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเริ่มการผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2021 แถลงการณ์ของ Foxconn ระบุว่า ตามนโยบายของบริษัท และเหตุผลเรื่องความอ่อนไหวทางการค้า เราไม่สามารถแสดงแง่มุมที่มีผลต่อสินค้าได้ อีกทั้ง Apple มีความต้องการที่กระจายฐานการผลิตให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้นในประเทศอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ Foxconn ประกาศลงทุนคิดเป็นมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จัดตั้งบริษัทย่อยที่มีชื่อเรียกว่า FuKang Technology ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขยายฐานการผลิตสู่เวียดนาม สำหรับในสัญญาโรงงานนี้จะทำหน้าที่ผลิตโทรทัศน์ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เช่น คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ อยู่ในพื้นที่เดียวกับ Sony จากญี่ปุ่น คาดการณ์ว่าจะเริ่มการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2020 หรือช่วงต้นปี 2021 ทั้งนี้ การย้ายฐานผลิต iPad ไปยังเวียดนาม ถือเป็นครั้งแรกของ Foxconn ที่มีโรงงานนอกเหนือจากจีน ที่มา: channelnewsasia, https://www.smartsme.co.th/content/242640
25 มี.ค. 2565
Tesla เร่งโปรเจ็กต์ เฟ้นหาหัวหน้าฝ่ายออกแบบรถยนต์ เจาะตลาดแดนมังกร
Tesla เร่งโปรเจ็กต์ เฟ้นหาหัวหน้าฝ่ายออกแบบรถยนต์ เจาะตลาดแดนมังกร
ผสาน 2 วัฒนธรรม! Tesla เฟ้นหาหัวหน้าฝ่ายออกแบบ สร้างรถยนต์เจาะตลาดแดนมังกร เล็งเปิดศูนย์ “ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้” วางคอนเซ็ปต์ เชื่อมช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเดินอย่างเต็มกำลังในการเจาะตลาดแดนมังกร สำหรับบริษัท Tesla ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้า ที่ล่าสุดมีการเปิดเผยว่ากำลังเฟ้นหาค้นหาผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบในประเทศจีน สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า โปรเจ็กต์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการเปิดสำนักงาน ด้วย “ฟังก์ชันเต็มรูปแบบ” ในเซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่ง และออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับให้เหมาะกับรสนิยมของผู้บริโภคชาวจีน รายงานระบุว่า ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Tesla ตลอดจนทีมงานคัดเลือกบุคลากรได้ดำเนินการเรื่องนี้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา พวกเขากำลังมองหาผู้มี "สองวัฒนธรรม" ในวิถีตะวันตก-ตะวันออก ประสบการณ์ 20 ปีขึ้นไป คุ้นเคยกับรสนิยมของชาวจีนและเชื่อมช่องว่างระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครบางคนได้รับการสัมภาษณ์โดย Franz von Holzhausen หัวหน้าฝ่ายออกแบบระดับโลกของ Tesla อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ถึงศักยภาพของผู้สมัครและการตัดสินใจของทาง Tesla ว่าได้คนที่เหมาะสมหรือยัง โดยแผนการผลิตรถยนต์ในจีนยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีการประเมินว่า Tesla น่าจะรอความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน (ก่อนหน้านี้เคยตึงเครียด) ภายใต้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ก่อนที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องละเอียดทั้งหมด ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่าจะมียอดขาย 1.5 ล้านคันในปีนี้ นอกจากนี้ยังเป็นตลาดอันดับ 2 ของ Tesla รองจากสหรัฐอเมริกา โดยผู้บริโภคชาวจีนซื้อรถ Tesla ราว 145,000 คันในปีที่แล้ว ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของปริมาณรถยนต์ทั่วโลก ที่มา : Reuters, https://www.smartsme.co.th/content/243365
24 มี.ค. 2565
หนีจีน! Apple ย้ายฐานผลิต iPhone-iPad ไปอินเดีย เวียดนาม
หนีจีน! Apple ย้ายฐานผลิต iPhone-iPad ไปอินเดีย เวียดนาม
Apple เตรียมปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตครั้งยิ่งใหญ่ โดยย้ายฐานผลิตสินค้าที่สำคัญออกจากประเทศจีน เพื่อกระจายห่วงโซ่การผลิตออกไปประเทศอื่น ตามรายงานของ asia.nikkei.com ระบุว่า Apple เตรียมที่จะย้ายฐานผลิตสินค้าไม่ว่าจะเป็น iPhones, iPads, Macs ออกจากจีน เป็นการส่งสัญญาณว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีพร้อมที่จะกระจายห่วงโซ่การผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ แม้ว่าจะมีความหวังที่จะเห็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน มีความตึงเครียดน้อยลง ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน แหล่งข่าว เผยว่า ผลิตภัณฑ์ iPad จะถูกย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนามก่อนกลางปีนี้ นับเป็นครั้งแรกผู้ผลิตแท็บเล็ตรายใหญ่ของโลกรายนี้ย้ายฐานผลิตออกจากจีน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ Apple เพิ่มการผลิตในอินเดีย รวมถึง iPhone 12 ที่มีรายงานว่าจะเริ่มผลิตในต้นไตรมาสนี้ หลายบริษัทของสหรัฐฯ มีภาพความเจ็บปวดจากกรณีสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องมองหาฐานการผลิตในประเทศอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาจีน อย่างไรก็ตาม การมาของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ยังไม่มีการลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนโดยทันที และด้วยปัจจัยค่าแรงที่มีอัตราสูง จึงเป็นที่มาให้ Apple ต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ก่อนหน้านี้ Foxcoonn บริษัทผู้ผลิตและรับผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้กับ Apple ทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีน โดยมุ่งเป้าไปที่ เวียดนาม ที่มีการลงทุนสร้างโรงงานเพื่อใช้เป็นฐานการผลิต iPad กับ MacBook รวมถึงอินเดียที่เพิ่มการผลิต iPhone 12 จนกลายเป็นประเทศที่ผลิตสินค้าให้กับ Apple มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน ทั้งนี้ การกระจายฐานผลิตสินค้าของ Apple ออกไปยังประเทศอื่น ๆ มีจุดประสงค์เพื่อลดการพึ่งพาจีน หลังต้องพบปัญหาในเรื่องของสงครามการค้า และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ซัพพลายเออร์ในจีนได้รับผลกระทบ ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามกำหนด ที่มา: asia.nikkei, theverge, reuters, https://www.smartsme.co.th/content/243582
23 มี.ค. 2565
“Timekettle WT2 Edge” หูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่ทำให้การคุยกับคนต่างชาติไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
“Timekettle WT2 Edge” หูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ที่ทำให้การคุยกับคนต่างชาติไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ทุกวันนี้เทคโนโลยีสามารถทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย หากใครไม่มีทักษะ ไม่ต้องกลัว เพราะเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้คุณเอง อย่างกรณีศึกษาที่ยกขึ้นมาในบทความนี้ ที่ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งจะมีหูฟังแปลภาษาแบบเรียลไทม์ให้ผู้ใช้สนทนากับชาวต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่ว หูฟังนี้มีชื่อว่า "Timekettle WT2 Edge” ที่มีคุณสมบัติแปลภาษาแบบเรียลไทม์คล้ายกับวุ้นแปลภาษาของการ์ตูนชื่อดัง โดราเอมอน ความพิเศษของหูฟังรุ่นนี้ คือแปลภาษาได้ถึง 40 ภาษา และ 93 สำเนียง ภายในระยะเวลา 0.5-3 วินาที นอกจากนี้ ยังแปลภาษาได้ 7 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, สเปน, รัสเซีย และฝรั่งเศส แม้ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หลายคนเห็นแล้วอาจตั้งคำถามว่า หูฟัง Timekettle WT2 Edge มีความแม่นยำในเรื่องการแปลภาษามากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล เพราะผู้ผลิตพัฒนาหูฟังนี้ โดยการนำเครื่องมือแปลภาษา 6 ตัว ประกอบด้วย DeepL, Google, Microsoft, iFlytek, AmiVoice และ Hoya รวมถึงเครื่องแปลภาษา Timekettle เพื่อให้ได้สำนวนออกมาอย่างใกล้เคียงที่สุด และมีความแม่นยำในการแปล 95% แน่นอนว่าหูฟัง Timekettle WT2 Edge เหมาะกับผู้ที่ต้องติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติ ซึ่งสามารถแปลภาษาได้แบบเรียลไทม์ภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างคล่องตัว โดยวิธีการใช้งานก็มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดเพียงเสียบหูฟังไว้ที่หู เมื่อมีการสนทนาเริ่มขึ้น ข้อความจะถูกแปลผ่านเสียงของผู้สนทนา อีกทั้ง ผู้ใช้สามารถนำหูฟังอีกข้างให้กับคู่สนทนาเพื่อให้รู้ถึงข้อความที่ต้องการสื่อสาร ด้านแบตเตอรี่ หูฟัง Timekettle WT2 Edge ใช้งานต่อเนื่องสูงสุด 3 ชั่วโมง (กรณีชาร์จครั้งเดียว) และใช้งานได้ถึง 12 ชั่วโมง เมื่อรวมกับแบตเตอรี่ในเคส ทั้งนี้ ราคาเปิดขายหูฟัง Timekettle WT2 Edge รุ่น Early bird จะอยู่ที่ 109 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,200 บาท) ที่มา: indiegogo https://www.smartsme.co.th/content/243628
22 มี.ค. 2565
ซีอีโอ Nissan ยอมรับชิปขาดตลาดส่งผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์
ซีอีโอ Nissan ยอมรับชิปขาดตลาดส่งผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์ เช่นเดียวกับNissan ที่ออกมายอมรับว่าได้รับผลกระทบต่อการผลิตรถยนต์ Makoto Uchida ซีอีโอของ Nissan ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC โดยยอมรับว่าปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ทั้งใน และต่างประเทศ ความต้องการแก็ตเจต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เซมิคอนดักเตอร์ขาดตลาดไปทั่วโลก สิ่งนี้กระทบอย่างยิ่งกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก “เราทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อลดผลกระทบนี้ และจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับการผลิตของธุรกิจ เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” Makoto Uchida กล่าว นอกจากนี้ ซีอีโอ Nissan ยังกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งกำลังเป็นเทรนด์อยู่ ณ ตอนนี้ว่า Nissan ให้ความสำคัญกับยานยนต์ไฟฟ้าต่ออนาคตของบริษัท โดยบริษัทพร้อมจะสร้างจุดแข็งการผลิต และนำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% วางขายสู่ตลาดก่อนปี 2030 ความคิดเห็นของ Makoto Uchida สอดคล้องกับคำพูดที่เจ้าตัวเคยพูดไว้เมื่อปลายเดือนมกราคม ว่าญี่ปุ่น, ยุโรป, สหรัฐฯ และจีน จะเป็นตลาดหลักของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ 3 เดือนสุดท้ายของปี 2020 Nissan มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 27.1 พันล้านเยน เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่มีกำไร 22.7 พันล้านเยน ที่มา: CNBC https://www.smartsme.co.th/content/243637
21 มี.ค. 2565
เราไม่ทิ้งกัน! Google ลงทุน 2.2 พันล้าน ช่วย SME สู้โควิด-19
เราไม่ทิ้งกัน! Google ลงทุน 2.2 พันล้าน ช่วย SME สู้โควิด-19
ยักษ์ใหญ่ใจป๋า! Google ประกาศลงทุนกว่า 2.2 พันล้านบาท ผ่านกองทุนเงินกู้ยืม หวังช่วยธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก สู้วิกฤติโควิด-19 กว่า 1 ปีที่ผ่านมากับสถานการณ์โควิด-19 ภาคธุรกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME ซึ่งมีไม่น้อยที่ได้ปิดตัวลง รวมถึงต้องปรับตัวเพื่ออยู่ให้รอดในภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจ แต่ท่ามกลางวิกฤติก็ได้มีข่าวดีเกิดขึ้น เมื่อองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง Google ได้ประกาศร่วมมือกับ European Investment Fund (EIF) ซึ่งเป็นองค์กรด้านการให้กู้ยืมเงินของสหภาพยุโรป กับอีก 2 องค์กรในละตินอเมริกาและเอเชีย ระดมเงินทุนราว 75 ล้านดอลลาร์ (2.2 พันล้านบาท) เพื่อช่วยบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 Google เปิดเผยว่าจะลงทุนในกองทุน EIF สองกองทุนโดยให้เงินกู้ยืม 15 ล้านดอลลาร์แก่ธุรกิจขนาดเล็กในยุโรป 1,000 แห่ง และอีก 10 ล้านดอลลาร์ในกองทุนร่วมของ EIF ที่สนับสนุนบริษัทด้านเวชภัณฑ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการให้บริการทางสาธารณสุข 200 แห่ง ในละตินอเมริกา Google จะทำงานร่วมกับ Inter-American Development Bank เพื่อจัดสรรเงินจำนวน 8 ล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทขนาดเล็ก นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดเล็กในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย จะได้รับการช่วยเหลือจากโครงการเงินกู้มูลค่า 26 ล้านดอลลาร์ ผ่านองค์กรระดมเงินกู้ Kiva และจัดสรรอีก 15 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กในอินเดีย ที่มา : reuters https://www.smartsme.co.th/content/243699
20 มี.ค. 2565
แอปฯ “Clubhouse” ถูกอ้างส่งข้อมูลผู้ใช้งานให้ทางการจีน
แอปฯ “Clubhouse” ถูกอ้างส่งข้อมูลผู้ใช้งานให้ทางการจีน
แม้ว่าแอปพลิเคชัน Clubhouse จะได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่มีคนดังในแต่ละวงการใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นช่องทางสื่อสารสนทนากัน แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีการตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวว่าจะเกิดการรั่วไหลถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่ 3 หรือไม่ หลังจากรายงานของ Stanford Internet Observatory (SIOX) ที่ออกมาระบุว่า บริษัท Agora บริษัทสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ เป็นผู้ดูแลระบบหลังบ้านให้กับแอปฯ Clubhouse ซึ่งข้อมูลทุกอย่างจะถูกส่งผ่านเซิร์ฟเวอร์ในจีน นอกจากนี้ ระบบป้องกันข้อมูลยังพบว่า Clubhouse มีการส่งต่อข้อมูลขึ้นเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ต้องเข้ารหัสข้อมูล ดังนั้นจึงเปิดโอกาสให้บุคคลที่สามเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น รายงานยังเผยอีกว่า Agora ได้เปลี่ยนแปลงตัวเลข ID Number และเข้าถึงห้องสนทนากับผู้ใช้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะนำข้อมูลเหล่านี้ส่งต่อไปให้กับรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตาม Agora ออกมาปฏิเสธ โดยชี้แจงว่าบริษัทไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Clubhouse ตามที่รายงานระบุไว้ ซึ่งบริษัทจะไม่เก็บข้อมูลเสียง และไม่มีการจัดเก็บข้อมูลไว้ในจีน แต่จะเก็บไว้ในสหรัฐฯ นั่นหมายความว่า หากทางการจีนต้องการข้อมูลก็จะต้องส่งเรื่องไปทางรัฐบาลสหรัฐฯ ตามข้อตกลง U.S.-China Mutual Legal Assistance Agreement (MLAA) ดูแบบนี้แล้วจึงเป็นเรื่องยาก ย้อนกลับไปต้นเดือนกุมภาพันธ์ แอปพลิเคชัน “Clubhouse” ถูกแบนในจีน หลังมีการตรวจพบว่ามีการสร้างห้องสนทนาพูดคุยเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ทั้ง เรื่องสิทธิมนุษยชน, การเมืองฮ่องกง, อุยกูร์, การเรียกร้องประชาธิปไตยในไต้หวัน ทั้งนี้ หลังจากแอปพลิเคชัน Clubhouse กลายเป็นที่นิยมของผู้ที่อยากสร้างคอนเทนต์ จึงทำให้ Agora มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย ที่มา: stanford https://www.smartsme.co.th/content/243701
19 มี.ค. 2565
ทลายข้อจำกัด! Clubhouse รุกต่อเนื่องจ้างทีมงานพัฒนาแอปฯ ขยายบริการสู่แอนดรอยด์
ทลายข้อจำกัด! Clubhouse รุกต่อเนื่องจ้างทีมงานพัฒนาแอปฯ ขยายบริการสู่แอนดรอยด์
แอปพลิเคชัน Clubhouse กลายเป็นแอปฯ ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ในประเทศ ณ ขณะนี้ และเป็นกิจวัตรประจำวันต้องเข้าไปฟังประเด็นน่าสนใจในห้องต่าง ๆ ตามความชื่นชอบ อย่างไรก็ตาม Clubhouse ยังมีข้อจำกัดอยู่ที่สามารถโหลดใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการ iOS เท่านั้น เพื่อรองรับการเติบโตของแอปฯ ในอนาคต ทำให้ Paul Davison และ Rohan Seth ผู้ก่อตั้งแอปฯ Clubhouse เตรียมจ้างนักพัฒนาซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เข้ามาขยายบริการไปสู่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ โดยเรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เมื่อ Mopewa Ogundipe นักพัฒนาแอปฯ ชื่อดังที่ร่วมพัฒนาแอปฯ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Khan Academy และ Medium ทวีตข้อความว่า “วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ร่วมงานกับ Clubhouse” Clubhouse เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2020 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันที่ร้อนแรงที่สุดใน Silicon Valley โดยเป็นพื้นที่สำหรับผู้ใช้ได้รวมตัวกันพูดคุยเรื่องราวที่น่าสนใจผ่านเสียงสนทนา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี และมีนักธุรกิจระดับโลกอย่าง Elon Musk ใช้เช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการใช้งานที่อนุญาตให้เฉพาะ iPhone เท่านั้น แม้ว่าจะมีผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนต่อสัปดาห์ แต่ Clubhouse ยังมองตลาดไปไกลกว่านั้น โดยบริษัทเตรียมพัฒนาแอปพลิเคชัน ให้ใช้งานได้กับระบบแอนดรอยด์ หลังได้รับเงินทุนจากบริษัท Andreessen Horowitz เป็นเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ดังนั้น การขยายบริการสู่แอนดรอยด์จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่มา: CNBC https://www.smartsme.co.th/content/243747
18 มี.ค. 2565