หมวดหมู่
แท็ก:
เทรนด์นอนไม่หลับเป็นเหตุ! ส่องกระแส Sleep Tech มาแรง ญี่ปุ่นทุ่มพัฒนานวัตกรรมช่วยนอนหลับ
เป็นที่น่าสังเกตว่าช่วงที่ผ่านมา บริษัทญี่ปุ่นทั้งกลุ่มสตาร์ทอัพและบริษัทที่มีชื่ออยู่แล้วต่างพร้อมใจกันจับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ sleep tech หรือเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาด้านการนอน เช่น การนอนไม่หลับ รวมถึงนวัตกรรมที่ทำให้นอนหลับสบายที่สุด โดยนวัตกรรมที่มีการคิดค้นก็หลากหลายแตกต่างกันไป มีทั้งการพัฒนาเครื่องนอน และชุดนอนที่ทำให้หลับง่ายและสบาย ไปจนถึงการรบรวมข้อมูลแล้ววิเคราะห์เพื่อให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน คำว่า “sleep tech” อาจทำให้คนส่วนใหญ่นึกถึงภาพอุปกรณ์ไฮเทคที่สามารถสวมใส่ได้ซึ่งเมื่อเทียบแล้ว บริษัทต่างชาติที่เป็นคู่แข่งบริษัทญี่ปุ่นจะมีความได้เปรียบกว่า เช่น นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ของบริษัทแอปเปิล อุปกรณ์ที่ผลิตโดยบริษัทฟิตบิท และอีกหลายบริษัท เช่น บริษัท Dreem ของฝรั่งเศสที่พัฒนอุปกรณ์สวมศีรษะที่ช่วยวัดตำแหน่งศีรษะ อัตราการหายใจ และกิจกรรมของสมองระหว่างนอนหลับที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ทาคุโตะ โนโนมุระ หัวหน้าสถาบันวิทยาศาสตร์เพื่อการนอนในโตเกียวกล่าวว่านวัตกรรมเกี่ยวกับการช่วยให้นอนหลับไม่ได้จำกัดแค่เพียงอุปกรณ์ดิจิทัลเท่านั้น ตราบใดที่มีหลักฐานและข้อมูลสนับสนุน อุปกรณ์หรือเครื่องใช้ที่เป็นอนาล็อกก็สามารถยกให้เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการนอนได้เช่นกัน นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อปี 1984 โดยบริษัทผลิตที่นอนนิชิคาว่า สถาบันวิทยาศาสตร์เพื่อการนอนได้วิจัยและศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ เช่น อุณหภูมิ ความสว่าง และท่วงท่าในการนอน ซึ่งงานวิจัยของสถาบันได้นำไปสู่การผลิตที่นอนรุ่น “AiR” ที่ช่วยลดแรงกดทับจากแผ่นหลัง ทำให้รักษาท่านอนที่สบาย ไม่ปวดหลังและไม่ทำร้ายสุขภาพ ขณะเดียวกัน บริษัทสตาร์ทอัพหลายแห่งก็ให้ความสนใจในธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องนอนเช่นกัน ยกตัวอย่าง บริษัทเบรน สลีป (Brain Sleep) ในโตเกียวที่วางจำหน่ายหมอนระบายอากาศเมื่อปี 2020 คุณสมบัติของหมอนดังกล่าวคือช่วยระบายความร้อนจากร่างกายขณะนอนหลับนำไปสู่การนอนที่มีคุณภาพ โคสุเกะ มิชิบาตะ ซีอีโอเบรน สลีปเผยว่าบริษัทได้ระดมทุนผ่าน crowdfunding ซึ่งปรากฏว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจและให้ทุนสนับสนุนเรียกได้ว่าเกินกว่าที่คาดไว้ “การนอนไม่หลับ นอนไม่พอเป็นปัญหาที่ค่อนข้างรุนแรงในญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยแก้ปัญหานอนไม่หลับ นอนแบบไม่มีคุณภาพจึงเป็นที่ต้องการอย่างมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ” ข้อมูลระบุตลาด sleep tech ในญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ บริการทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อการนอนหลับ และอุปกรณ์ดิจิทัล ทั้งนี้ ยานอนหลับถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบริการทางการแพทย์ ขณะที่เครื่องดื่มและอาหารเสริมที่ช่วยให้นอนหลับจะอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ส่วนสินค้าในกลุ่มนี้ที่แพร่หลายในญี่ปุ่นประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หรืออาหารฟังก์ชั่นที่มีสรรพคุณช่วยในการนอนหลับที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานของรัฐแล้ว แม้กระทั่งบริษัทยาคูลท์ ฮอนฉะ ผู้ผลิตเครื่องดื่มนมเปรี้ยวของญี่ปุ่นที่เก่าแก่กว่า 80 ปีก็ร่วมเล่นในตลาดนี้โดยแนะนำเครื่องดื่ม Yakult 1000 ในปี 2019 สิ่งที่แตกต่างจากยาคูลท์ทั่วไปคือการเพิ่มจุลินทรีย์ lactobacillus casei strain Shirota กว่าแสนล้านตัว จุลินทรีย์ที่ว่าบริษัทอ้างว่าช่วยคลายเครียดและทำให้นอนหลับ เบื้องต้นจำหน่ายใน 6 จังหวัด และเพิ่งจำหน่ายทั่วประเทศเมื่อปีที่ผ่านมา โดยช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2021 สามารถทำยอดขาย 1.14 ล้านขวด ซึ่งภายหลังซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยาได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกันนี้แพร่หลายไปหมด ด้านบริษัทไดกิ้น อินดัสตรี้ ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่สุดของโลกก็เป็นอีกรายที่ต้องการมีส่วนร่วมในการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ บริษัทจึงศึกษาปัจจัยที่ทำให้ตื่นง่ายโดยการใช้เซนเซอร์จับอุณหภูมิที่ติดตั้งบนเพดานเพื่อมอนิเตอร์ใบหน้าของคนขณะนอนหลับ และคอยระบายอากาศให้หมุนเวียนบริเวณใบหน้า พบว่าให้ความรู้สึกเหมือนถูกกล่อมเบา ๆ ส่วนบริษัทพานาโซนิกก็เปิดตัวเครื่องปรับอากาศรุ่น Eolia ที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นบนบนสมาร์ทโฟน เมื่อวางมือถือใกล้หมอน แอปพลิเคชั่นจะบันทึกข้อมูลว่าผล็อยหลับตอนกี่โมง และพลิกตัวกี่ครั้ง นอกจากนั้น ยังมีเซนเซอร์ข้างเตียงที่วัดอุณหภูมิและความชื้นบริเวณรอบศีรษะและจะทำการปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ และระบบแสงของโคมไฟพานาโซนิกที่ค่อยเพิ่มแสงเพื่อปลุกผู้นอนในตอนเช้าแทนการปลุกด้วยนาฬิกา แม้ญี่ปุ่นจะเป็นรองคู่แข่งจากนอกในด้านสมาร์ทวอทช์ แต่สตาร์ทอัพในประเทศก็พยายามเต็มที่ในการตีตื้นขึ้นมา เช่น บริษัทแอคเซลสตาร์ส (ACCELStars) เทคสตาร์ทอัพจากเมืองคุรุเมะได้ร่วมมือกับทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยโตเกียวพัฒนานาฬิกาอัจฉริยะที่ติดตั้งเทคโนโลยีอัลกอริธึมซึ่งสามารถบอกได้แม่นยำเกี่ยวกับสภาวะการหลับหรือตื่นของผู้สวมใส่ มาซายูกิ อาซาโนะ ผู้บริหารแอคเซลสตาร์สกล่าวว่าการสวมใส่นาฬิกาเรือนนี้จะทำให้สามารถตรวจจับความไม่ปกติในการนอนได้ง่ายและเร็วขึ้น ลัดขั้นตอนในการเข้าสู่กระบวนการบำบัด ซึ่งหากเป็นการตรวจสอบทั่วไปจะซับซ้อนกว่านี้ เช่น ต้องวัดการทำงานของสมอง เป็นต้น แอคเซลสตาร์สมีแผนจะจำหน่ายสมาร์ทวอทช์รุ่นนี้แก่สถาบันการแพทย์ต่าง ๆ และเตรียมเปิดบริการตรวจสอบคุณภาพการนอนในปลายปีหน้าอีกด้วย ก่อนหน้านั้นมีสตาร์ทอัพหลายรายที่เข้ามาให้บริการด้านนี้ อาทิ บริษัทนูโรสเปซที่จัดทำโปรแกรมพัฒนาการนอนให้กับพนักงานในองค์กรต่าง ๆ ลูกค้ารายใหญ่ของนูโรสเปซคือราคูเท็น กรุ๊ป ผู้นำด้านอี-คอมเมิร์ซของญี่ปุ่นที่นำโปรแกรมนี้มาใช้กับพนักงานในบริษัทและพบว่าหลังเข้าโปรแกรม คุณภาพการนอนของพนักงานดีขึ้น ส่งผลให้พนักงานทำงานมีประสิทธิภาพและสร้างรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้น 120,000 เยนต่อคนต่อปีเลยทีเดียว ข้อมูลองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาหรือ OECD (The Organisation for Economic Co-operation and Development) ระบุภาวะขาดการนอนหลับ หรือการนอนหลับไม่เต็มอิ่มเป็นปัญหาระดับชาติในญี่ปุ่น ประชากรญี่ปุ่นอายุระหว่าง 15-64 ปีนอนหลับเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 22 นาทีซึ่งน้อยกว่าที่ OECD กำหนดกว่าชั่วโมง โดยเฉพาะประชากรวัยทำงาน ชั่วโมงการนอนจะยิ่งน้อยลง มีการประเมินว่าภาวะขาดการนอนหลับของประชากรญี่ปุ่นส่งผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 15 ล้านล้านเยนต่อปี ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8130.html
28 มิ.ย. 2565
ส่อง Key Success ของสตาร์ทอัพ "Kollective" ที่ฉีกกฎการตลาดรีวิวสินค้าด้วย Data และ Technology
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Influencers คือคลื่นลูกใหม่ของการตลาดดิจิทัล แต่การทำแคมเปญ Influencers ในยุคปัจจุบัน แค่ส่งสินค้าให้คนดังโพสต์อาจไม่ได้ยอดตามที่คาดหวัง ซึ่ง วราพล โล่วรรธนะมาศ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Kollective สตาร์ทอัพด้าน Marketing ได้ใช้ Data และ Technology มาเล่าเบื้องลึกการทำ Influencer Marketing แบบหมดเปลือก ย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว วราพลมองเห็นเทรนด์ Influencer Marketing ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเห็นช่องว่างของตลาด Influencers กลุ่ม Young Generation ที่ยังไม่มีคู่แข่ง ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ความต้องการทางการตลาดพบว่า องค์กรต่างๆ มองหา Young Generation Influencers เพื่อเป็นสะพานเข้าถึงลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ จึงก่อตั้ง Kollective “ต่อมาเรามองเห็นปัญหาในการทำ Influencer Marketing ที่หลายแบรนด์มองว่าแค่ส่งสินค้าให้คนดังโพสต์แล้วจบ แต่ในความเป็นจริงกระบวนการเลือก Influencers ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การเลือก Key Message ที่ใช้ในการสื่อสาร การติดตามและวัดผลเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญเพื่อให้คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุน จึงทำแพลตฟอร์ม Kolify ที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพ Influencer Marketing โดยปัจจุบันมี Influencers ในเครือข่ายจำนวนกว่า 30,000 คน” จากประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกับลูกค้าและ Influencers วราพลเล่า Key Success 3 ข้อของ Kollective ที่ฉีกกฎการตลาดที่ใช้คนดังรีวิวสินค้าแบบเดิมๆ ว่า Strategic Communication ก่อนจะเลือก Influencers ต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าให้ชัดเสียก่อน หลังจากนั้นเลือกใช้ Keyword ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสื่อสารแล้วตรงใจ โดย Kollective ทำ In-depth Analysis และ Social Monitoring เพื่อเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อค้นหา Key Message ที่ใช่ Media Ecosystem การจ้าง Influencers แต่ละครั้งต้องคิดให้ครบ เลือกใช้ Influencers ที่ตรงกับ Marketing Funnels ตั้งแต่ขั้น Awareness จนกระทั่งเกิด Traction นอกจากนั้นใช้ Assets และ Media ของ Influencers ที่จ้างให้เกิดประโยชน์สูงสุด Influencers Collaboration ไม่ควรเลือกด้วยวิธีสุ่มเดา Kollective มีแพลตฟอร์มที่นำข้อมูลมาช่วยวิเคราะห์ประกอบการเลือก Influencers เพื่อคำนวณ Cost Per Click รวมถึงติดตามผลทำให้การทำแคมเปญครั้งต่อไปมีความแม่นยำมากขึ้น และลดต้นทุนการตลาด “ปัจจุบัน Influencers ส่วนมากอยู่ในกลุ่ม Celebrity หรือ Lifestyle ทำให้ความหลากหลายน้อย เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด นอกจากนั้น Influencers Marketing ในอนาคต มีแนวโน้มเป็นโมเดล Pay Per Success ที่จ่ายค่าตอบแทนตามยอดขาย” วราพลกล่าวทิ้งท้าย ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8148.html
27 มิ.ย. 2565
MyCloudFulfillment แชร์บทเรียน เพราะล้มจึงรู้ ทะยานสู่คลังสินค้าที่ออเดอร์ 4 แสนกล่องต่อเดือน
“เพราะล้มจึงรู้” คำคำนี้ดูจะเหมาะกับ นิธิ สัจจทิพวรรณ CEO, MyCloudFulfillment เพราะการที่เขาทำคลังสินค้าออนไลน์จนประสบความสำเร็จในวันนี้ เกิดจากการเรียนรู้ข้อผิดพลาดที่ได้จากความล้มเหลวของธุรกิจจิวเวลรีออนไลน์มาก่อน ซึ่งเมื่อเขาพบปัญหาของการทำธุรกิจออนไลน์อันเนื่องมาจากระบบหลังบ้าน จึงตัดสินใจเปิดธุรกิจใหม่ นั่นคือ MyCloudFulfillment ที่ในช่วงแรกๆ มีออร์เดอร์เพียง 5 กล่องต่อวัน แต่ในปัจจุบันมีถึง 4 แสนออร์เดอร์ต่อเดือน “จริงๆ เรายังโตได้ไม่ดีพอ เพราะว่าโอกาสมีอีกมากๆ สถานการณ์โควิด-19 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโต มีผู้ประกอบการออนไลน์เพิ่มมากขึ้น มีความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างเกิดขึ้น แต่ด้วยความที่เรายังไม่มีเงินมากเพียงพอ จึงทำให้เรายังไปได้ไม่เร็วพอ” อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับเงินลงทุน Series A มูลค่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2563 และรอบ Series B จำนวน 7.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก JWD และ SCB 10X เมื่อปลายปี 2564 นิธิก็บอกว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ จาก MyCloudFulfillment ใน 3 เรื่องหลักๆ คือ ประการแรก การขยายศักยภาพคลังสินค้า เป็นการขยายพื้นที่เพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น ประการที่สอง กลุ่มลูกค้าเดิมแต่ทำบริการใหม่ ซึ่งต่อไปนี้ MyCloudFulfillment จะไม่ใช่แค่คลังสินค้าที่ให้พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์มาเก็บสินค้าเท่านั้น แต่ยังจะหาวิธีช่วยเพิ่มโอกาสในการขายอีกด้วย “สินค้าที่วางไว้ในคลังบางตัวขายได้ก็ดี แต่ที่ขายไม่ได้เราจะหาวิธีช่วย เป็นการเพิ่มโอกาสในการขายโดยเฉพาะสินค้าที่ระบายออกได้ช้า ตรงนี้จะทำให้เราแตกต่างจากคลังสินค้าอื่น เป้าหมายในการทำคลังของเราตั้งแต่แรกคือ อยากให้ร้านค้ามีระบบที่จัดการได้ง่ายและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น บริการใหม่นี้ก็จะสอดรับไปกับปณิธานของเราคือ ช่วยให้ลูกค้าขายของได้มากขึ้น” ประการที่สาม การทำบริการเดิมแต่ตลาดใหม่ ซึ่งก็คือการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ “เวียดนามประเทศแรกที่เราจะไปในปีหน้า เพราะว่าเป็นประเทศที่มีความใกล้เคียงกับเรา พฤติกรรมของคนที่ใช้โซเชียลมีดีย พฤติกรรมการซื้อ-ขายออนไลน์เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ ตลาดกำลังเติบโตได้ดี และกำลังจะแซงขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในอาเซียนแทนที่ไทย นั่นคือเหตุผลที่เรารับเงินลงทุนจาก JWD ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เพราะถ้าจะไปต่างประเทศเราจะไปต่อกับคู่ค้าอย่างนี้ เพื่อทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น” นิธิกล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ความตั้งใจของ MyCloudFulfillment คือ ต้องการช่วยให้ลูกค้าขายของได้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กๆ โดย MyCloudFulfillment จะเป็นตัวกลางที่จะทำให้ธุรกิจเล็กๆ เหล่านั้นสามารถไปต่อได้ ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8153.html
26 มิ.ย. 2565
สตาร์ทอัพต้องรู้จักการเล่าเรื่องแบบ "Rhetorical" โน้มน้าวใจให้ได้เงินระดมทุนสไตล์ อริสโตเติล
การระดมทุนเป็นหนึ่งในงานที่ท้าทายสำหรับผู้ก่อตั้ง Startup มือใหม่ เพราะต้องอาศัยประสบการณ์การนำเสนอที่สร้างความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวให้นักลงทุนเชื่อมั่นในไอเดียจนกล้าลงเงินสนับสนุน วันนี้เรามีตัวช่วยสุดคลาสสิก หลักการเล่าเรื่องแบบ Rhetorical ของอริสโตเติล ที่ใช้ในการโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังคล้อยตาม โดยการเล่าเรื่องแบบ Rhetorical นั้นประกอบไปด้วย 3 หลัก คือ Pathos การสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง Logos การใช้ข้อมูล สถิติ และ Ethos ความน่าเชื่อถือของสิ่งที่พูดและผู้พูด ซึ่งด้วยวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้ Startup Founder สามารถมัดใจนักลงทุนแบบอยู่หมัดได้ Pathos ความเข้าอกเข้าใจผู้ฟังและสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง การเริ่มต้นเล่าไอเดียด้วยเหตุการณ์ที่สร้างอารมณ์ร่วมช่วยดึงความสนใจของนักลงทุนตามหลักของ Pathos เนื่องจากเรื่องราวที่มนุษย์มีอารมณ์และความรู้สึกร่วมสามารถสร้างความจดจำได้ดีกว่า จากสถิติการเล่าเรื่องในหนังสือ Talk Like Ted ระบุว่า เรื่องเล่าบนเวที Ted Talk ของ Bryan Stevenson ที่ผู้ฟังปรบมือยาวนานที่สุด ใช้เวลากว่า 65 เปอร์เซ็นต์ในการเล่าเรื่องที่กระตุ้นอารมณ์และความสนใจของผู้ฟัง กลเม็ดเคล็ดลับข้อนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการนำเสนอนักลงทุน แต่อาจปรับสัดส่วน โดยการนำเสนอในส่วนแรก Startup อาจคัดเลือกเรื่องราวที่น่าสนใจนำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่าสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น การหยิบเรื่องเล่าของคุณปู่วัย 70 ปีที่ชีวิตดีขึ้นเพราะ Startup ของเรา หรือเล่าเรื่องราวยอดการลงทะเบียนใช้บริการสูงเกินความคาดหมาย เนื่องจากในแต่ละวันนักลงทุนฟังไอเดีย Startup จากทั่วโลกมานับไม่ถ้วน ก้าวแรกของความสำเร็จคือทำอย่างไรให้การเริ่มต้นนำเสนอของคุณดึงความสนใจให้นักลงทุนตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ Logos การใช้ข้อมูล สถิติ แหล่งอ้างอิง เพื่อสร้างความสมเหตุสมผล นักลงทุนมักมองหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนสิ่งที่นำเสนอ ดังนั้น การคัดเลือกข้อมูล สถิติที่น่าสนใจและสอดคล้องกับสิ่งที่นำเสนอเป็นหัวใจสำคัญ หลายคนคงตั้งคำถามในใจว่าเราจะเลือกข้อมูลที่น่าเชื่อถือในขณะเดียวกันน่าสนใจได้อย่างไรกัน? - เล่าข้อมูลแบบ Comparison เนื่องจากสมองของมนุษย์ชอบการเปรียบเทียบ ดังนั้น หากอยากนำเสนอให้เห็นความแตกต่างของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งอย่างชัดเจน การนำเสนอคู่กัน จะทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเล่าว่ายอดขายของ Startup เติบโตอาจไม่เห็นภาพ หากมีข้อมูลเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การเติบโตของ Startup และบริษัทคู่แข่ง จะทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า เราเติบโตมากกว่าคู่แข่งกี่เท่า - เล่าข้อมูลแบบ Timeline เหมาะกับการเล่าข้อมูลที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลา ยกตัวอย่างเช่น การเล่าแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และแผนในอนาคต หากใช้วิธีแบ่งช่วงเวลา จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น - การเล่าข้อมูลแบบ Visualization การแปลงข้อมูลเป็นภาพช่วยสร้างความน่าสนใจและสร้างความน่าเชื่อถือ หากต้องการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่าง การเล่าความรู้สึกของผู้ใช้ หากมีภาพประกอบหรือมีวิดีโอของผู้ใช้จริงจะช่วยให้นักลงทุนเชื่อในสิ่งที่เล่าได้มากกว่า Ethos ความน่าเชื่อถือของสิ่งที่พูดและผู้พูด สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญคือ ศักยภาพของทีมโดยเฉพาะกลุ่มผู้ก่อตั้ง เพื่อประเมินว่าทีมมีศักยภาพขับเคลื่อนไอเดียให้เป็นจริงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่? ดังนั้น ประสบการณ์การทำงานของคนในทีมที่แตกต่างกัน ความสำเร็จของผู้ก่อตั้ง และผลงานที่ทำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรหยิบเรื่องราวที่เล่าความสามารถเฉพาะด้านของแต่ละคนในทีมมานำเสนอ แต่ควรเล่าให้เห็นภาพรวมของทั้งทีม ซึ่งการเล่าความสามารถและศักยภาพของทีมสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น - การเล่าผ่านประสบการณ์การทำงานของแต่ละบุคคล กรณีนี้เหมาะกับการที่คนในทีมเคยทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง หรืออยู่ในตำแหน่งที่ใหญ่ - การเล่าความสามารถของทีมผ่านรางวัล หรือการแข่งขัน เช่น CTO ของเราแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ในการแข่งขันที่ประเทศจีนและได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ด้านความแม่นยำของการประมวลผล - เล่าผลงานที่เกิดขึ้นจากการทำงานและการบริหารงาน เช่น ปีที่ผ่านมา CBO ของเราสามารถสร้างพันธมิตรกับภาคธุรกิจกลุ่มค้าปลีกได้ 5 ราย ทำให้ฐานลูกค้าผู้ใช้งานเติบโตมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ การเล่าเรื่องแบบ Rhetorical ช่วยเป็นแนวทางในการร้อยเรียงเรื่องราวการนำเสนอของ Startup Founder ให้น่าสนใจและจูงใจนักลงทุน แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การหมั่นฝึกซ้อมในการนำเสนอ ก่อนลงสนามจริง ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8166.html
25 มิ.ย. 2565
รู้จัก Finda สตาร์ทอัพให้บริการสินเชื่อที่เอื้อคนรุ่นใหม่ กู้ง่ายบนออนไลน์ ใช้เวลาแค่ 6 นาที
เกาหลีใต้ขึ้นชื่อว่าเป็นสังคมปิตาธิปไตย ที่ผู้ชายมีบทบาทและเป็นใหญ่กว่าเพศหญิง จึงไม่แปลกที่จะเกิดช่องว่างความเสมอภาคทางเพศในแวดวง Startup ของเกาหลี ข้อมูลระบุในบรรดาผู้ก่อตั้ง Startup ทั้งหมดในเกาหลี มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ แม้จะเผชิญกับอุปสรรคมากมาย แต่ก็มีผู้หญิงเกาหลีจำนวนหนึ่งสามารถฝ่าฟันจนได้รับการยอมรับในสังคม หนึ่งในนั้นคือ ลี ฮเย มิน ลี ฮเย มิน ผู้ประกอบการสาววัย 37 ปีเป็นอีกหนึ่งดาวรุ่งในวงการ Startup เกาหลี เธอเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทฟินด้า (Finda) ฟินเทคที่ให้บริการด้านผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบครบวงจร มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากกว่า 17,000 รายการจาก 50 กว่าสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ฟินด้าเน้นการให้สินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ ในรูปแบบที่ง่ายและสะดวกที่สุด โดยใช้เทคโนโลยีมาวิเคราะห์ว่าผู้กู้สามารถกู้ได้ต่ำสุดและสูงสุดเท่าไหร่ได้ในเวลาไม่กี่วินาที และผู้กู้กับผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากัน ทุกธุรกรรมทำผ่านระบบออนไลน์หมด กว่าจะขึ้นแท่นผู้หญิงแนวหน้าในสังคม Startup เกาหลี ไปดูปูมหลังของผู้หญิงเก่งคนนี้กัน ลี ฮเย มินจบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเกาหลี เคยฝึกงานที่กระทรวงการต่างประเทศและการค้าของเกาหลี เริ่มต้นทำงานที่บริษัทเอสทีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น ก่อนย้ายมาทำงานที่บริษัทร็อคเก็ต อินเตอร์เน็ต และมีส่วนร่วมริเริ่ม Glossybox ธุรกิจจัดส่งตัวอย่างเครื่องสำอางแบบสุ่มให้สมาชิกจนธุรกิจขยายไปใน 7 ประเทศเอเชีย หลังจากนั้น ลี ฮเย มินก็คลุกคลีในธุรกิจ Startup เรื่อยมา โดยตั้งบริษัทพีเพิ้ลแอนด์โคให้คำปรึกษาด้านการตลาดและอีคอมเมิร์ซ รวมถึงเป็นเจ้าของ Noom ที่พัฒนาแอปพลิเคชันเกี่ยวกับสุขภาพและฟิตเนสที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเกาหลี ครั้นประสบความสำเร็จจาก 2 Startup ที่ก่อตั้งขึ้น ลี ฮเย มินก็เริ่มมองหาโอกาสจากธุรกิจอื่น และไปลงเอยที่ธุรกิจบริการสินเชื่อออนไลน์ ลี ฮเย มินมองว่าที่ผ่านมาบริษัทหรือสถาบันที่บริการสินเชื่อรายหลักที่มีอยู่ไม่ได้จับตลาดออนไลน์อย่างจริงจัง ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บนออนไลน์มีไม่มากพอ ลีจึงตั้ง Startup แห่งที่ 3 ในชื่อฟินด้า (Finda) ขึ้นในปี 2559 เพื่อให้เป็นตลาดนัดผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ซึ่งมีตั้งแต่สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อธุรกิจ บริการเครดิตการ์ด และบริการประกันต่างๆ โดยมีบริษัทและสถาบันการเงินเข้าร่วมมากมาย แพลตฟอร์มฟินด้าเจาะกลุ่มผู้ใช้งานอายุ 20-30 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้แต่เครดิตอาจไม่ดีนักทำให้กู้สินเชื่อยาก ลี ฮเย มินจึงอยากรังสรรค์บริการที่ทำให้การซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นง่ายและสะดวกเหมือนการซื้อสินค้าออนไลน์ทั่วไป ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าเข้าชมแพลตฟอร์มฟินด้าผ่านสมาร์ทโฟน หลังเปิดบริการได้ 3 ปี ฟินด้าก็ได้รับการเชิดชูจากคณะกรรมาธิการบริการด้านการเงินว่าเป็นองค์กรให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินอันดับ 1 ของประเทศ และมีเงินลงทุนรอบซีรีส์ A ไหลเข้ามูลค่า 4,500 ล้านวอน หรือราว 125 ล้านบาท ซีอีโอฟินด้ากล่าวว่า การเปิดบริการฟินด้าถือว่าบรรลุเป้าหมายในการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายและสะดวก เพราะก่อนหน้านั้น กว่าผู้บริโภคจะได้รับการอนุมัติต้องผ่านขั้นตอนมากมายกว่า 10 ขั้นตอน แต่ฟินด้าสามารถย่นเวลาลงเหลือเพียงเช็กอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งใช้เวลาแค่นาทีเดียว จากนั้นดำเนินการกู้ การดำเนินธุรกรรมก็สำเร็จใน 6 นาทีเท่านั้น ข้อมูลระบุ 70 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าที่เคยกู้สินเชื่อจากช่องทางอื่นมาแล้ว เมื่อมากู้ผ่านฟินด้าจะได้รับข้อมูลจากหลากหลายบริษัทและสถาบันการเงิน ข้อมูลมีความรอบด้านมากขึ้นทำให้สามารถเปรียบเทียบจนนำไปสู่การยื่นขอสินเชื่อใหม่ที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิมประมาณ 11.8 เปอร์เซ็นต์ ช่วง 3 ปีแรกของการให้บริการ สินเชื่อที่อนุมัติการกู้ผ่านแพลตฟอร์มฟินด้ารวมแล้วมูลค่า 12.1 ล้านล้านวอน แม้ช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 จะมีหลายสถาบันการเงินต้องเปิดบริการสินเชื่อออนไลน์ของตัวเอง แต่จำนวนผู้ใช้บริการฟินด้ากลับเพิ่มขึ้น มีผู้เข้ามาหาข้อมูลสินเชื่อเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ราย และแตะที่ประมาณ 1 ล้านรายต่อเดือน นั่นคือข้อได้เปรียบของการเข้ามาจับตลาดและยึดหัวหาดก่อน ในฐานะที่เป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าซึ่งเป็นผู้กู้กับสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อ ในการให้สินเชื่อแต่ละครั้ง ฟินด้าจะคิดค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงินเฉลี่ย 300,000 วอน (ราว 8,200 บาท) ต่อหนึ่งสินเชื่อซึ่งส่วนใหญ่การปล่อยกู้แต่ละครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านวอน หรือราว 1.4 แสนบาท รายได้ส่วนหนึ่งของฟินด้ายังมาจากการทำการตลาดให้สถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรด้วย เมื่อมีลูกค้าคลิกเข้าไปชมโฆษณาสถาบันการเงินใดก็ตามบนแพลตฟอร์ม ฟินด้าจะได้รับ 6,000 วอนจากสถาบันการเงินนั้น ในส่วนของผู้กู้ นอกจากไม่คิดค่าธรรมเนียมใดๆ ฟินด้ายังมีโปรโมชันให้เป็นบางโอกาสอีกด้วย เช่น การร่วมมือกับธนาคารหรือบริษัทประกันแนะนำสินเชื่อ หากผู้กู้เป็นพนักงานออฟฟิศ จะได้ลดดอกเบี้ยลง 0.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น ลี ฮเย มินมีแผนขยายบริการไปยังสินเชื่อเพื่อการศึกษา และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้วยหลังการให้สินเชื่อที่กระทำผ่านฟินด้าเพิ่มขึ้นทะลุนับพันเปอร์เซ็นต์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องการรักษาระยะห่าง การปล่อยสินเชื่อตามแบบ Untact ซึ่งมาจากคำว่า un + contact หรือการไม่ต้องพบปะกันตัวต่อตัว จึงกลายเป็นวิถีใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8176.html
24 มิ.ย. 2565
บทเรียนจาก Clever Math สตาร์ทอัพที่ต้องชะงักเมื่อมองข้าม Pain point ของผู้ใช้งาน
ต่อให้โปรดักต์ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ตอบโจทย์ความต้องการ ไม่มีใครอยากใช้ ก็ยากที่จะไปรอด ดังนั้น การหา Product-Market Fit หรือการทำสินค้าที่มีตลาดรองรับ ตรงกับความต้องการของลูกค้าจึงมีความสำคัญ ซึ่งมี Startup หลายรายที่ประสบปัญหานี้ รวมถึง ณัฐธีร์ โกศลพิศิษฐ์ ผู้พัฒนาแอปฯ Clever Math ที่มีประสบการณ์จากการหา Product-Market Fit จนทำให้ต้องเสียเวลามาแบ่งปันประสบการณ์นั้น Clever Math เป็นแอปฯ ที่เกิดจากความตั้งใจของณัฐธีร์ ที่อยากให้เด็กไทยเก่งคณิตศาสตร์ และเรียนด้วยความสนุกสนาน โดยเขาเห็น Pain Point การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็กๆ มาตั้งแต่อดีต นั่นคือเด็กไม่อยากทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ แต่วิชานี้ถ้าไม่หมั่นทำแบบฝึกหัดก็ยากที่จะเก่งขึ้นมาได้ จึงพัฒนา Clever Math ซึ่งเป็นเกมคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้น ป.4-6 ให้เด็กๆ ฝึกทำแทนการทำการบ้าน ทั้งนี้จากการหาความต้องการของเด็ก เขาพบว่าเด็กๆ ชอบการ์ตูน ชอบเกม และชอบการแข่งขัน ซึ่งทั้งหมดคือคุณค่าที่ Clever Math มอบให้กับนักเรียน ขณะที่ในมุมของครูนั้น ณัฐธีร์บอกว่า Clever Math จะซื้อเวลากลับมาให้ครู แทนที่จะต้องนั่งตรวจการบ้านก็มีเวลาไปทำประโยชน์ด้านอื่น เพราะด้วยระบบของ Clever Math จะวิเคราะห์ให้ครูได้เห็นข้อมูลว่าเด็กมีความรู้ความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน “ทำมาในช่วง 2-3 ปีแรกเราคิดและจินตนาการว่าความคิดของเราน่าจะถูกต้อง เพราะเราสอนคณิตศาสตร์เห็นปัญหาของเด็กมาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่เราพลาดคือ เราหา Pain Point เด็ก แต่ไม่ได้หา Pain Point ของครู เลยทำให้เมื่อลองใช้ครั้งแรกครูถึงขั้นกุมขมับ ไม่อยากใช้งานเพราะไม่ตอบโจทย์ ทำให้เราต้องกลับมาทำวิจัยหาปัญหาที่เกิดขึ้นกับครูว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งพบว่าครูไม่ถนัดใช้แอปฯ การที่จะให้ครูได้ใช้งานมันต้องง่าย” เพราะการมองข้าม Stakeholders ที่เกี่ยวข้องนี้ ทำให้ 3 ปีแรกของ Clever Math เหมือนเสียเวลาเปล่า “เราใช้เวลาพัฒนา Clever Math มา 3 ปีจนเกือบสมบูรณ์ แต่ต้องเสียเวลาอีกกับการหาความต้องการและพัฒนาตามความต้องการของครูซึ่งรวมเสียเวลาอีกปีครึ่ง ทั้งๆ ที่จริงถ้าในตอนแรกทำแค่ Prototype แล้วเอาไปให้ครูได้ทดลองก่อนว่าเป็นอย่างไร ก็จะทำให้ไม่เสียเวลามากขนาดนี้” ณัฐธีร์จึงบอกว่า ในการหา Product Market Fit ควรจะศึกษาและเปิดใจเปิดสมองตัวเองให้เร็วที่สุด อย่าปิดตัวเองกับไอเดียที่มีตั้งต้นเท่านั้น แต่ให้ไปคุยกับตลาดหาข้อมูลให้มากพอ ยิ่งได้ข้อมูลมากก็จะยิ่งลดความเสี่ยงแล้วเพิ่มความรวดเร็วในการพัฒนาโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8178.html
23 มิ.ย. 2565
เจ๊งในกระดาษดีกว่า ด้วยแนวคิด 3V ที่ช่วยให้คุณพร้อมก่อนลงสนามจริง
ในวงการ Startup มีคำพูดติดปากว่า “Idea is cheap execution is everything” เพราะไอเดียเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งการทำไอเดียให้เป็นจริงคือ ความท้าทายที่รอ Startup ทุกคนอยู่ และระหว่างเส้นทางการปั้นไอเดียให้เกิดขึ้นจริง นอกเหนือจาก Passion แล้ว ทั้ง Founder และทีมยังต้องลงเงิน ลงแรง และลงเวลา เพื่อไม่ให้ความตั้งใจรวมถึงทรัพยากรสูญเปล่าอีกด้วย วันนี้เราจึงมีเครื่องมือการคิดแบบ 3V-Vision, Value และ Validation ตัวช่วยคัดกรองไอเดียก่อนเริ่มลงมือทำจริงมาแนะนำ เพราะการล้มในขั้นไอเดีย ก็ยังเจ็บน้อยกว่าลงมือทำแล้วล้มหลายเท่าตัวทีเดียว Vision ช่วยให้ทุกคนในทีมเห็นเป้าหมายระยะยาวและเห็นสิ่งที่จะสร้างขึ้นร่วมกัน หากทีมของคุณยังหา Vision ไม่เจอ อาจลองใช้เครื่องมือ Golden Circle วงกลมสามวงที่ประกอบด้วย Why How และ What เพื่อช่วยตกตะกอนความคิด และหาคำตอบได้ สำหรับเครื่องมือ Golden Circle จะเริ่มคิดจากวงในสุดคือ Why ทำไมพวกคุณถึงอยากทำไอเดียนี้ให้เป็นจริง? หลังจากรู้ Why อย่างถ่องแท้แล้วค่อยขยับไปหาคำตอบที่วงกลมตรงกลางคือ How คุณจะทำไอเดียให้เป็นจริงได้อย่างไร? และสิ้นสุดที่วงกลมนอกสุด คือ What ไอเดียที่พวกคุณคิดคืออะไร? หากคุณได้ Vision ร่วมกันแล้ว ลองถามตัวเองและคนในทีมต่อด้วยคำถาม 2 ข้อต่อไปนี้ -การจะทำ Vision ให้สำเร็จ มีปัจจัยอะไรเกี่ยวข้องบ้าง? -ในอนาคต หากไอเดียของเราจะล้มเหลว ไม่สำเร็จตาม Vision สาเหตุเกิดขึ้นจากอะไร? การหา Value (คุณค่า) เริ่มต้นจากรู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมายและเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของพวกเขา กลุ่มเป้าหมายสามารถแบ่งในรูปแบบที่เข้าใจง่ายเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มลูกค้า คือคนที่จ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการ โดยเขาอาจเป็นคนที่ใช้สินค้าหรือบริการด้วยตัวเองหรือให้คนอื่นใช้ก็ได้ ซึ่งในทางกลับกันกับกลุ่มที่ 2.กลุ่มผู้ใช้ คือผู้ที่ใช้สินค้าหรือบริการ แต่อาจจ่ายเงินเองหรือคนอื่นจ่ายเงินให้ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อหลักสูตรอบรมออนไลน์ให้กับพนักงาน บริษัทในฐานะผู้ตัดสินใจซื้อและจ่ายเงิน คือลูกค้า ในขณะที่พนักงานในบริษัทคือผู้ใช้ เมื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายเจอ ลองคิดในมุมกลุ่มเป้าหมาย และตอบคำถาม 3 ข้อ - อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของไอเดียของคุณ? ไอเดียของคุณช่วยให้ชีวิตกลุ่มเป้าหมายดีขึ้นอย่างไร? - ไอเดียของคุณแตกต่างจากสินค้าหรือบริการอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาดอย่างไร? - ทำไมกลุ่มเป้าหมายถึงเลือกไอเดียของคุณ? เหตุผลเบื้องหลังในการตัดสินใจเลือกไอเดียของคุณคืออะไร? หากคุณตอบคำถาม 3 ข้อได้แล้ว แสดงว่าคุณกำลังดำเนินมาถึงครึ่งทางในกระบวนการคัดกรองไอเดีย จุดประสงค์หลักของขั้นตอนนี้ คือค้นหาคำตอบว่าไอเดียที่เราคิดมีความต้องการของตลาดอยู่จริง เพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนลงแรง ลงเงิน และลงเวลา การทดสอบไอเดียเริ่มจากการทำ “Customer Validation Interview” หรือ การพูดคุยกับ “กลุ่มเป้าหมาย” เพื่อรู้ความต้องการที่แท้จริง เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เข้าใจเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ รู้สินค้าหรือบริการที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในปัจจุบัน รู้กำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมาย หลังจากจบการพูดคุยกับกลุ่มเป้าหมาย นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์แบบไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่าไอเดียของเราส่งมอบ “Value” หรือ คุณค่า ให้กลุ่มเป้าหมายหรือไม่? หากคำตอบคือใช่ ยินดีด้วย ไอเดียนี้ของคุณได้ไปต่อ แต่ถ้าไม่ใช่ รู้ในตอนนี้ก็ดีกว่าลงเวลาลงเงินไปแล้วเสียหายทีหลัง ที่มา : https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8079.html
22 มิ.ย. 2565
ดีพร้อมเซนเตอร์ 7 เสริมแกร่ง SMEs ปรับกลยุทธ์ จัดการข้อมูลด้วยระบบดิจิทัล
17 มิถุนายน 2565 ดร.รุ่งโรจน์ อิฐรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM CENTER 7) มอบหมายให้ นายกฤษณะ นอขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน ในกิจกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจไทยด้วยดิจิทัล ปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ณ สถานประกอบการ อาทิ ร้านหมูยอแม่เสถียร, บริษัท เดอะกู๊ด คอมเมิร์ซ จำกัด, บริษัท ตั้งใจ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการ วางแผนการจัดซื้อวัตถุดิบให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า สามารถวิเคราะห์ต้นทุนการดำเนินกิจการเพื่อหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งนำไปสู่การประเมิลผลการปฏิบัติงานของพนักงานในองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม . เจ้าหน้าที่ นายรัฐนนท์ บุญญา, นายพิจิตต์ จอมหงษ์ , นายตระกูล อ่อนรัตน์, นายจิตติ โสบุญ . #DIPROM #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7
22 มิ.ย. 2565
ZORT หยิบ Pain point ของคนขายออนไลน์มาสร้างรายได้ด้วยแพลตฟอร์มจัดการออเดอร์&สต๊อก
เมื่อการซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างมาก ระบบการจัดการร้านค้าออร์เดอร์และสต็อกออนไลน์จึงยิ่งมีบทบาทสำคัญ และนี่จึงทำให้ ZORT ซึ่งเริ่มต้นจากเห็นปัญหาของผู้ประกอบการในการจัดการสต็อกสินค้าเมื่อ 6ปีที่แล้วที่ไม่มีระบบการจัดการที่ดีมารองรับ ได้พัฒนากลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเพิ่ม Ecosystem ให้กับร้านค้าออนไลน์ทำงานด้านบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สวภพ ท้วมแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซอร์ทเอาท์ จำกัด (ZORT) เล่าว่า “ZORT เกิดขึ้นจากการเห็นปัญหาของธุรกิจทั้งออนไลน์และออฟฟไลน์ โดยหวังว่าจะมาปิดจุดอ่อนของผู้ประกอบการที่มีการเปิดร้านค้าผ่านหลายแพลตฟอร์ม เช่น Lazada, Shopee, JD central, Facebook หรือ Line เป็นต้น ซึ่งทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการออร์เดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ZORT จึงรวบรวมการขายของจากหน้าร้านทุกแพลตฟอร์มและหน้าร้านแบบออฟไลน์มาไว้ที่เดียว ทั้งระบบจัดการคลังสินค้า จัดการออเดอร์ จัดการสต๊อก จัดการขนส่ง จัดการระบบรับชำระเงิน (Payment Gateway) รวมถึงฟีเจอร์ส่งเสริมการขายจำนวนมาก” สวภพ เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ZORT เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการออร์เดอร์และสต๊อกครบวงจร พัฒนาจากความคิดเห็นของผู้ใช้งานจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Data Analysis) เพื่อต่อยอดพัฒนาการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพให้สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทที่ต้องการสนับสนุนการเติบโตของลูกค้า เนื่องจากสามารถทราบถึงต้นทุนจากการขาย วิเคราะห์แนวโน้มกำไร เรียกดูข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับสถิติการขายของเจ้าของร้าน เช่น รายการสินค้าที่สร้างยอดขายได้ดี และรายการสินค้าที่ไม่ได้รับความนิยมได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เราตั้งใจที่จะเป็นสะพานให้ทั้งธุรกิจเล็กและใหญ่ สามารถเติบโตได้โดยอาศัยเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นมา สิ่งสำคัญ ลูกค้าสามารถเห็นภาพรวมต่างๆ จากระบบได้เลย ทำให้สามารถตัดสินใจได้ถูกทิศทางมากขึ้น ปัจจุบันเราให้บริการร้านค้ากว่า 3,000 ร้านค้า สิ่งสำคัญคือช่วยธุรกิจลูกค้าให้สามารถเติบโตได้มากกว่า 30เปอร์เซ็นต์ และสามารถช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจได้มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์” สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจนั้น สวภพ บอกว่า ปี 2565 เขาตั้งเป้าหมายที่จะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ร้านค้ รวมถึงตั้งเป้าหมายระดับ 3 ปี จะสามารถขยายฐานลูกค้าไปถึง 18,000 ร้านค้า ซึ่งล่าสุด ZORT ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจาก บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และ บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด และนักลงทุนอิสระ ในการเพิ่มทุนระดับ Series A โดยการระดมทุนครั้งนี้จะทำให้ ZORT ได้รับเงินทุน 55 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอให้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ รวมถึงการบุกตลาดอาเซียนในอนาคต ที่มา : www.smethailandclub.com https://www.smethailandclub.com/startup-techstartup/8092.html
21 มิ.ย. 2565
ดีพร้อมเซนเตอร์ 7 แลกเปลี่ยนกลยุทธ์ SMEs ปรับธุรกิจให้รองรับการเปลี่ยนแปลง
อุบลราชธานี วันที่ 21 มิถุนายน 2565 ดร.รุ่งโรจน์ อิฐรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM CENTER 7) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสรุปความสำเร็จโครงการ ในกิจกรรม "การให้คำปรึกษาแนะนำเพื่อพัฒนาศักยภาพ SMEs ให้รองรับการเปลี่ยนแปลง" ณ โรงแรมยูเพลส มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวรายงานโดย นายกฤษณะ นอขุนทด ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรม สำหรับกิจกรรมในวันนี้ มีการบรรยายแนวทางการการนำ Business Model Canvas ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ โดยเน้นการปรับกลยุทธ์วางแผน ทิศทางของธุรกิจให้ รองรับการเปลี่ยนแปลง SMEs ควรที่จะต้องเรียนรู้และหาแนวทางการต่อยอดธุรกิจ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ก้าวเข้าสู่ Digital Transforms รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลนีสื่ออนไลน์กับโมเดลธุรกิจใหม่ สำหรับกิจการ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร, ผลิตภัณฑ์จากจิ้งหรีด, ผลิตภัณฑ์น้ำจิ้มหมูกระทะ, ผลิตภัณฑ์ปลาส้ม, ผลิตภัณฑ์ไม้สัพและแพลน์ปูน . เจ้าหน้าที่ร่วมจัดกิจกรรม นายสุมิตร ส่งเสริม, นางใหม่นภา ไพศาลเสถียรวงค์, นายตระกูล อ่อนรัตน์, นายมิตร แสงกล้า . #DIPROM #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7
21 มิ.ย. 2565