หมวดหมู่
แท็ก:
สตาร์ทอัพอินเดียพัฒนา “สมาร์ทวอทช์เตือนภัย” สำหรับผู้หญิง
นาฬิกา Safer Pro ที่ผลิตโดยบริษัท Leaf Wearables อาจจะดูเหมือนนาฬิกา smartwatch ทั่วไป แต่นาฬิกานี้อาจมีศักยภาพในการช่วยชีวิตบรรดาสุภาพสตรีได้ นาฬิกาดังกล่าวจะมีปุ่มสีแดงเพื่อใช้กดส่งข้อความ SMS และเพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังครอบครัว หรือคนสนิทของคุณ โดยใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต คุณ Manik Mehta ผู้ก่อตั้ง Leaf Wearables กล่าวว่า แนวคิดของการผลิตนาฬิกา Safer Pro ก็คือการสร้างอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณไปยังผู้อื่นว่าตนกำลังอยู่สภาวะคับขัน ซึ่งนาฬิกา Safer Pro เปรียบเสมือนเครื่องช่วยเหลือแบบดิจิทัล โดยผู้ใช้ต้องกดปุ่มสีแดงค้างไว้จะเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง 5 หมายเลขที่ถูกกำหนดไว้ให้ได้เป็นผู้รับการแจ้งเตือน ว่าผู้ใส่นาฬิกากำลังตกอยู่ในอันตราย อุปกรณ์ชิ้นนี้ใช้งานง่าย เพียงแค่กดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือ แทนที่จะมัวเสียเวลาค้นหาโทรศัพท์ นอกจากนี้ Safer Pro ยังสามารถใช้บันทึกเสียงได้อีกด้วย ซึ่งเสียงที่ได้รับการบันทึกจะส่งไปยังหมายเลขติดต่อฉุกเฉินที่กำหนดไว้ 5 หมายเลข เพื่อให้สตรีที่กำลังตกอยู่ในอันตรายสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที และยังมีการบันทึกเสียงไว้ใช้เป็นหลักฐานอีกด้วย ตอนนี้นาฬิกา Safer Pro ไม่ได้เป็นอุปกรณ์เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเพียงชิ้นเดียวในตลาด แต่ Safer Pro เป็นอุปกรณ์ที่เพิ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขัน Women's Safety XPRIZE ในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีแบบเรียบง่าย คุณ Manik มองว่า อินเดียและประเทศอื่นๆ ในเอเชียนั้น มีเครือข่ายโทรคมนาคมในระบบ 2G และ 3G เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์นั้น สามารถดำเนินการภายใต้ระบบ 2G ได้ ด้านคุณ Anu Jain ผู้ก่อตั้ง Women's Safety XPRIZE เล็งเห็นประโยชน์ของสมาร์ทวอทช์ชนิดนี้ในอินเดียรวมทั้งหลายประเทศที่มีภัยคุกคามมากๆ ซึ่งอุปกรณ์นี้จะเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยเหล่าสุภาพสตรีได้เป็นอย่างดี และด้วยราคาที่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ หรือราว 1,320 บาท ทำให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต่างหวังว่านาฬิกา Safer Pro จะทำให้บรรดานักจี้ปล้นทั้งหลายมีความยั้งคิดบ้าง เพราะผู้หญิงที่ใส่นาฬิกานี้ จะสามารถขอความช่วยเหลือได้ทันที และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความปลอดภัยให้กับผู้หญิงทั่วโลกได้ไม่มากก็น้อย ที่มา : www.voathai.com https://www.sanook.com/hitech/1460885/
12 มิ.ย. 2565
สตาร์ทอัพคิดค้นแอปพลิเคชั่นช่วยผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ไม่รู้หนังสือ
ผู้ใช้สมาร์ทโฟนต้องรู้หนังสือจึงจะสามารถใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์นี้ในการส่งข้อความ อ่านข่าว หรือใช้สื่อสังคมออนไลน์แมกซ์ ชัทคิน (Max Shatkhin) ผู้ร่วมก่อตั้งเเละที่ปรึกษาแห่งบริษัทเทคสตาร์ทอัพ LitOS กล่าวว่า ตนเองไม่เคยคิดว่าผู้ใช้มือถือต้องพึ่งการพิมพ์และการอ่านข้อความทางโทรศัพท์มากแค่ไหน จนกระทั่งได้ลองคิดดูและเกิดคำถามว่า เเล้วจะออกแบบสมาร์ทโฟนอย่างไรให้เหมาะกับคนที่ไม่รู้หนังสือ ชาทคิน กล่าวว่า LitOS เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใช้งานสำหรับคนไม่รู้หนังสือเป็นการเฉพาะ โดยเเทนที่จะใช้การพิมพ์ตัวหนังสือในการส่งข้อความ จะใช้ภาพถ่าย ภาพถ่ายวิดีโอเเละเทคโนโลยีเสียงพูด ในปัจจุบัน คนไม่รู้หนังสือในประเทศกำลังพัฒนามีจำนวนเพิ่มขึ้นทั่วโลก บริษัท LitOS กำลังทำงานกับคนที่มีการศึกษาน้อยเเละรายได้ต่ำในอินเดียในขณะนี้ เขากล่าวว่า ประชากรกลุ่มนี้มีมือถือสมาร์ทโฟนใช้ พวกเขามีกำลังเงินซื้อมือถือมาใช้ เเละจ่ายค่าอินเตอร์เน็ท แต่พวกเขายังใช้มือถือไม่ได้ แอพพ์ตัวใหม่ที่ทางบริษัทพัฒนาขึ้นมานี้ยังใช้เทคโนโลยีการจดจำเสียงเพื่อเข้าไปในระบบเเละค้นหาชื่อ โดยกระบวนการออกแบบของทีมงานได้พิจารณาด้วยว่า คนไม่รู้หนังสือใช้โทรศัพท์มือถืออย่างไร ชาทคินบอกว่าบ่อยครั้งที่ผู้ใช้จะค้นหาชื่อโดยใช้เบอร์สี่ตัวสุดท้ายของหมายเลขโทรศัพท์ เพราะไม่สามารถจดจำเบอร์ทั้งหมดได้ แต่มักจะจำได้เฉพาะตัวเลข 4 ตัวสุดท้ายเท่านั้น ทำให้ phonebook ของบริษัท LitOS เเสดงตัวเลข 4 ตัวสุดท้ายของหมายเลขโทรศัพท์ที่ค้นหาเสมอ เเละในอนาคต ทางบริษัทบอกว่าจะใช้ระบบจดจำเสียงที่สามารถค้นหาเนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือร่วมด้วย ซึ่งจะยิ่งเป็นประโยชน์กับผู้ใช้มากขึ้น ชาทคิน กล่าวว่า ระบบนี้จะรู้ว่ามีเนื้อหาอะไรอยู่ในหน้าไหน เเละจะสามารถให้ข้อมูลนั้นๆ เเก่ผู้ใช้ได้ทันที เขากล่าวว่า เป้าหมายคือมุ่งช่วยให้คนไม่รู้หนังสือสามารถเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสารได้เหมือนกับคนทั่วไป สำหรับคนไม่รู้หนังสือ การอ่านไม่ออกเเละเขียนไม่ได้ จะไม่เป็นอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารผ่านมือถืออีกต่อไป ที่มา : www.voathai.com https://www.sanook.com/hitech/1470125/
11 มิ.ย. 2565
ดีพร้อมเซนเตอร์ 7 เสริมกลไกผู้เชี่ยวชาญ สนับสนุน SMEs เพิ่มขีดความสามารถสถานประกอบการ
ระหว่างวันที่ 6-10 มิถุนายน 2565 ดร.รุ่งโรจน์ อิฐรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM CENTER 7) มอบหมายให้ นายพัฒนพงษ์ กลิ่นลั่นทม นักวิชาการอุตสาหกรรมชำนาญการ นำคณะเจ้าหน้าที่จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในหลักสูตร "ถ่ายทอดองค์ความรู้และให้บริการแก่ SMEs/วิสาหกิจชุมชน" กิจกรรมการยกระดับกลไกสนับสนุนการดำเนินธุรกิจด้วยเครือข่ายผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม (SP@N) ภายใต้โครงการการพัฒนาระบบการส่งเสริม SME ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ณ สถานประกอบการ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ .เจ้าหน้าที่ร่วมจัดกิจกรรมนายอัครภณ จำปารัตน์, นายศุภชัย สืบวงศ์.#DIPROM #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7
10 มิ.ย. 2565
สตาร์ทอัพอิสราเอลเตรียมวัดคลื่นสมองนักบินอวกาศด้วยหมวกสุดล้ำสมัย
บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติอิสราเอล Brain.Space ที่ทำการศึกษาการทำงานของสมองมนุษย์อย่างละเอียดได้เตรียมพร้อมทดลองเทคโนโลยีสุดล้ำกับนักบินอวกาศบนเที่ยวบินด้วยยานของ SpaceX ที่จะเดินทางไปสู่สถานีอวกาศนานาชาติในวันที่ 3 เมษายน รายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นักบินอวกาศ 3 ใน 4 คนที่จะเดินทางขึ้นไปสถานีข้างต้นด้วยเที่ยวบินพิเศษของบริษัท Axiom Space จะได้สวมชุดที่มีเทคโนโลยีหมวกแบบพิเศษที่สามารถตรวจสภาวะของคลื่นไฟฟ้าในสมอง (electroencephalogram) ได้ หมวกนักบินอวกาศแบบพิเศษชนิดนี้มีเส้นแปรงขนาดเล็กถึง 460 เส้นที่เชื่อมต่อกับหนังศีรษะของนักบินอวกาศในขณะที่พวกเขาทำกิจกรรมต่างๆ ประมาณ 20 นาทีต่อวัน โดยหนึ่งในกิจกรรม คือ การทดสอบการมองเห็น (visual oddball) ที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของคลื่นสมองได้ชัดเจน จากนั้น ข้อมูลจะได้รับการบันทึกและถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ที่สถานีอวกาศโลก แยร์ เลวี่ ซีอีโอของ Brain.Space กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า “เราทราบว่าสภาพแวดล้อมแบบเกือบไร้น้ำหนัก (microgravity) กระทบต่อตัวสั่งการทำงานของร่างกายมนุษย์ เพราะฉะนั้น มีโอกาสเป็นไปได้จะกระทบต่อสมองเช่นกัน เราจึงต้องการศึกษาเรื่องนี้” เขากล่าวเสริมว่า ฐานข้อมูลในปัจจุบันมีข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเต้นของหัวใจ ความยืดหยุ่นของผิวหนังและมวลกล้ามเนื้อในสภาพแวดล้อมในอวกาศแล้ว แต่ที่ขาดไปคือการทำงานของสมอง โดยโครงการนี้ของ Brain.Space จึงถือเป็นหนึ่งใน 30 การทดลองใหม่ภายใต้ภารกิจ Rakia Mission ที่สถานีอวกาศนานาชาติด้วย และเพื่อศึกษาความแตกต่างของคลื่นสมองได้อย่างชัดเจน ผลการทดลองข้างต้นจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับการทดลองกิจกรรมในรูปแบบเดียวกันที่เกิดขึ้นบนโลกและหลังจากนักบินอวกาศเหล่านั้นเสร็จสิ้นภารกิจ Brain.Space ให้คำจำกัดความตนเองว่าเป็น บริษัทที่ส่งเสริมการพัฒนา “โครงสร้างพื้นฐานของสมอง” ซึ่งสามารถระดมทุนตั้งต้น (seed money) ได้ราว 8.5 ล้านดอลลาร์ และได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายโอนหน่วยความจำและข้อมูลจำนวนมหาศาลของสมองร่วมกับมหาวิทยาลัย Ben Gurion ในประเทศอิสราเอลอีกด้วย เลวี่ กล่าวด้วยว่า การศึกษารูปแบบนี้มีความจำเป็นเพราะการสำรวจอวกาศที่กินระยะยาวนานและการอาศัยอยู่นอกโลกมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน และเขาหวังด้วยว่า โลกอวกาศจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการสร้างแอปพลิเคชั่น การบริการและสินค้าใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำงานของสมองในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนของการเก็บข้อมูลที่ควรจะมีความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งเขาเปรียบเทียบว่า อาจจะง่ายพอๆ กับการดึงข้อมูลจาก Apple Watch ในส่วนของเที่ยวบินเอกชนที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้ จะใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นรวม 10 วันนั้น และถือเป็นครั้งแรกสำหรับการเดินทางเชิงพาณิชย์สู่สถานีอวกาศที่มีนักบินอวกาศถึง 4 คนอีกด้วย ที่มา : https://www.sanook.com/hitech/1554685/
10 มิ.ย. 2565
ดีพร้อมเซนเตอร์ 7 ติดตามการดำเนินโครงการในพื้นที่
อุบลราชธานี 9 มิถุนายน 2565 ดร.รุ่งโรจน์ อิฐรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM CENTER 7) มอบหมายให้ นายรัฐนนท์ บุญญา, นายพิจิตต์ จอมหงษ์, นายสังวาลย์ จันทะเวช ร่วมติดตามการดำเนินโครงการ กิจกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม, กิจกรรมประยุกต์ใช้ระบบดิจิทัลในการบริหารจัดการธุรกิจ ณ สถานประกอบการ สามชัยกรุ๊ป ผลิตภัณฑ์ หมูยอ, บริษัทมาริโอ้ สตีล จำกัด จำหน่ายเหล็กและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง, ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุบลชัยศิริการเกษตร 6395 ผลิตภัณฑ์ จำหน่ายปุ๋ยและวัสดุสินค้าทางการเกษตร.#DIPROM #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7
09 มิ.ย. 2565
DTAC เตือนห้ามให้ OTP-หมายเลขบัตรประชาชน-กดลิงก์คนไม่รู้จัก
บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ดีแทคเตือนระวังภัยมิจฉาชีพหลอกขอตัวเลข OTP หรือบัตรประชาชน ย้ำ ห้ามให้ OTP เด็ดขาด เสี่ยงถูกโกงหมดตัว ดีแทคไม่มีนโยบายติดต่อลูกค้าก่อน หรือส่งลิงก์ให้ลูกค้าอัปเดตข้อมูลส่วนตัวใดๆ ห้ามให้ OTP แก่ผู้อื่น รวมถึงเลขที่บัญชีธนาคาร หรือบัญชีบัตรเครดิต ถ้าถูกเปิดเผยจะเสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือนำไปสวมรอยแอบอ้างยืนยันตัวตน อาทิ การเป็นเจ้าของบัญชีธนาคาร เปลี่ยนแปลงการผูกบัญชีธนาคารกับแอปพลิเคชันบนมือถือ บัญชีบัตรเครดิต การซื้อสินค้าออนไลน์ รวมถึงยืนยันความเป็นเจ้าของบัญชีโซเชียลมีเดียต่างๆ จากผู้ไม่หวังดี ห้ามกดลิงก์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก การกดลิงก์จากบุคคลอื่นที่ส่งมาจะทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง โดยมิจฉาชีพอาจจะติดต่อผ่านช่องทางแชทต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือ SMS ซึ่งจะหลอกให้กดลิงก์ที่นำไปสู่การติดตั้งโปรแกรมซึ่งสามารถดักข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เพื่อสวมรอยเป็นเหยื่อไปทำธุรกรรมสร้างความเสียหาย หรือโอนย้ายเงินในบัญชีทั้งหมดของเหยื่อไปสู่บัญชีของมิจฉาชีพ ดีแทคห่วงใย ขอแจ้งเตือนลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่ได้รับการติดต่อข้อความรูปแบบดังกล่าวอย่าหลงเชื่อ และระมัดระวังช่องทางการโจรกรรมออนไลน์ที่สามารถเกิดได้หลายรูปแบบ ดีแทคไม่มีกิจกรรมที่ให้พนักงานติดต่อลูกค้าไปก่อน เพื่อร้องขอ OTP จากลูกค้า หรือสอบถามข้อมูลส่วนตัวทั้งนี้ การติดต่อกับดีแทคต้องผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการของดีแทคเท่านั้น ได้แก่ call center 1678, Facebook dtac และ Twitter @dtac ทั้งนี้ ลูกค้าดีแทคที่ได้รับ SMS หลอกลวง หรือเจอภัยมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถแจ้งได้ทั้งโทร 1678 ทำตามขั้นตอนระบบหรือแจ้งผ่าน SMS/MMS 1678 ได้ฟรี และช่องทางบน เว็บไซต์ดีแทค https://www.dtac.co.th/block-scam-numbers ซึ่งสามารถทำรายการแจ้งภัยด้วยตนเองด้วยการกรอกเบอร์ดีแทคของท่านและยืนยันตัวตน เพื่อให้ข้อมูลแจ้งภัยมิจฉาชีพ ทั้งนี้ ดีแทคจะนำไปตรวจสอบ บล็อกเบอร์ ประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสืบสวน สอบสวน และดำเนินการตามกฎระเบียบต่อไป ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2022/202483
09 มิ.ย. 2565
KTB ผนึก ยาพร้อม เปิดแอปฯสุขภาพเชื่อมต่อบริการการเงินเสริมสภาพคล่องร้านขายยา
นางสาวสิริน ฉัตรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยาพร้อม จำกัด กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลต่อพฤติกรรมและวิถีชีวิตของประชาชน ทั้งด้านความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสุขภาพ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยดูแลรักษาสุขภาพให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย สะดวกและรวดเร็ว ที่สำคัญ ลดการสัมผัส เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาแอปพลิเคชัน “ยาพร้อม” Platform สำหรับร้านขายยาและองค์กรพันธมิตรที่ร่วมดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดีของประชาชน โดยการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานด้านสุขภาพได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งซื้อและรับยารักษาโรค รวมถึงการได้รับคำปรึกษาเบื้องต้นจากเภสัชกรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในพื้นที่ห่างไกล บริการในแอปพลิเคชัน “ยาพร้อม” ครอบคลุมการดูแลสุขภาพ และการรักษาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น ให้บริการแบบ Real time ระหว่างร้านขายยากับคนไข้ แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่นๆ เน้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ด้วยระบบ AI ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถปรึกษาเภสัชกรทาง Chat / Voice / Video รวมถึงการบันทึก OPD Card สำหรับประวัติการรักษา การวิเคราะห์อาการเบื้องต้น (Yaphrom Primacy Care) ระบบปรึกษาและสั่งยาแทนสำหรับคนในครอบครัว ระบบการขนส่งยาที่รักษาคุณภาพยาได้มาตรฐาน ระบบ B2B สำหรับซื้อยาจากโรงงานผู้ผลิต และระบบ POS (Point of sale) สำหรับร้านขายยา ที่สำคัญ ระบบยาพร้อมสามารถ Integrate ร่วมกับ platform อื่นๆ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า และผู้ประกอบการ โดยปัจจุบัน “ยาพร้อม” พัฒนาระบบการให้บริการร่วมกับพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วย ร้านขายยากว่า 4,000 ร้าน บริษัทผู้ผลิตยา บริษัทเวชภัณฑ์ เวชสำอางค์ รวมถึงผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย (KTB) ในครั้งนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างสูงสุด ทั้งในด้านสาธารณสุขและการต่อยอดทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ KTB เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์การต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า (X2G2X) โดยต่อยอดระบบนิเวศน์ Health and Wellness Ecosystem เพื่อขยายบริการทางการเงินให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม ธนาคารได้ร่วมพัฒนาระบบรับชำระเงิน เชื่อมบริการจัดการทางการเงินแบบครบวงจรด้วย Krungthai Digital Platform เพื่อรับชำระค่าสินค้าและบริการให้กับร้านขายยา โดยผู้ชำระและร้านขายยาสามารถทราบผลของการชำระได้ทันที พร้อมบริการ Direct Debit เพื่อเก็บค่าธรรมเนียมค่าบริหารจัดการระบบจากร้านขายยาที่เป็นสมาชิก ธนาคารให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้ร้านขายยาที่เป็นสมาชิกเข้าถึงแหล่งเงินทุนหมุนเวียน ภายใต้โครงการ Krungthai Digital Supply Chain Financing ผ่านผลิตภัณฑ์ สินเชื่อคู่ค้าพารวย โดยการนำข้อมูลจากการค้าและการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับ Digital Supply Chain Financing Platform ของธนาคาร มาเป็นประโยชน์ในการพิจารณาการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการสินเชื่อโดยไม่ต้องใช้หลักประกันในรูปแบบเดิม ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถพิจารณาและกำหนดวงเงินสินเชื่อจากข้อมูลการสั่งซื้อยาของร้านขายยา จากบริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อสนับสนุให้ร้านขายยาสมาชิกมีเงินทุนหมุนเวียนดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ได้มีโอกาสช่วยซัพพลายเออร์ที่เป็นลูกค้าให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2022/202773
08 มิ.ย. 2565
ดีพร้อมเซนเตอร์ 7 ติดตามการดำเนินโครงการในพื้นที่
ดร.รุ่งโรจน์ อิฐรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 7 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM CENTER 7) ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการ แลกเปลี่ยนมุมมอง รับฟังปัญหา อุปสรรค สร้างขวัญเสริมกำลังใจ SMEs ในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ณ วิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน อำเภอขุขันธ์, ฟาร์มหมอสมคิด, บจก.เอทตี้เอท เทรดดิ้ง (6-7 มิถุนายน 2565) . เจ้าหน้าที่ร่วม นายธีระยุทธ เกลื้อกิจ, นายสมชาย เชาว์ประโคน . #DIPROM #ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่7
07 มิ.ย. 2565
KTB ผนึก freshket ช่วย SME ร้านอาหาร เข้าถึงแหล่งทุนผ่านสินเชื่อคู่ค้าพารวย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ธนาคารร่วมมือกับบริษัท โพลาร์ แบร์ มิชชั่น จำกัด สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มเฟรชเก็ต (freshket) ให้บริการสินเชื่อผ่านผลิตภัณฑ์ สินเชื่อคู่ค้าพารวย ภายใต้โครงการ Krungthai Digital Supply Chain Financing สำหรับผู้ประกอบการ SME ประเภทร้านอาหารที่เป็นคู่ค้ากับ freshket ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง ให้สามารถเข้าถึงเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประคองธุรกิจให้รอดผ่านวิกฤตครั้งนี้ โดยระยะเริ่มต้นตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการคู่ค้าของ freshket จำนวน 100 ราย ก่อนที่จะขยายผลให้กับผู้ประกอบการในวงกว้างต่อไป การนำ Trade Data มาใช้สอดรับกับแนวทางของโครงการ Smart Financial & Payment Infrastructure (SFPI) ของประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมการค้าเป็นดิจิทัลอย่างครบวงจร SFPI เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย รวมถึงภาคธุรกิจ ภาคการเงิน และภาครัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินและการชำระเงินสำหรับภาคธุรกิจ ช่วยให้ทำรายการซื้อขายสินค้าและชำระเงินทางดิจิทัลได้ครบวงจร เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงรองรับการพัฒนานวัตกรรมสำหรับธุรกิจ นำไปสู่การยกระดับความสามารถการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย สำหรับสินเชื่อคู่ค้าพารวย (Digital Supply Chain Financing) เป็นสินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียนสำหรับลูกค้า เพื่อเป็นวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี (OD) สามารถเบิกใช้ผ่านช่องทาง online ทั้ง Krungthai Business และ Krungthai NEXT อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นที่ 0.80% ต่อเดือน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน กู้ได้สูงสุด 3 เท่าของยอดซื้อ หรือไม่เกิน 20 ล้านบาท นอกจากนี้ freshket ได้ขยายเครดิตเทอม (credit term) สำหรับ SME ที่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มอีก 15 วัน จากเครดิตเทอมที่ลูกค้าเคยได้รับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจให้กับลูกค้าและตอบโจทย์ทางการเงินครบวงจรให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง น.ส.พงษ์ลดา พะเนียงเวทย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท โพลาร์ แบร์ มิชชั่น จำกัด สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มเฟรชเก็ต (freshket) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าร้านอาหารหลาย ๆ เจ้าซึ่งเป็นสัดส่วนกว่า 85% ของลูกค้าเฟรชเก็ต ประสบปัญหาสภาวะเงินคล่อง และหมุนเวียนในธุรกิจจากวิกฤตโควิด-19 และผลกระทบจากเศรษฐกิจ จึงจับมือกับธนาคารกรุงไทย เดินหน้าช่วยเหลือกลุ่มลูกค้า SME ร้านอาหาร ทั้งมาตรการความช่วยเหลือทั่วไป และมาตรการความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด เพิ่มช่องทางให้สามารถเข้าถึงสภาพคล่องลูกค้ามีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายได้อย่างอุ่นใจ ซื้อของเข้าร้านได้เต็มที่ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยแผนการเติบโตของเฟรชเก็ตปีนี้ มุ่งไปที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเฟรชเก็ตทั้งในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีด้าน Supply chain เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบปฏิบัติการและการให้บริการ พร้อมทั้งรองรับการเติบโตของธุรกิจไปสู่กลุ่มสินค้าใหม่ๆ และขยายขอบเขตให้ครอบคลุมการให้บริการในต่างจังหวัด รวมถึงการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีสำหรับการคาดการณ์ความต้องการจากลูกค้า (demand forecasting) เพื่อให้เกิดความโปร่งใสสำหรับทุกฝ่าย ลดขยะอาหาร และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ประกอบการต้นน้ำ โดยผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ สด ใหม่ ในราคาเหมาะสม พร้อมทั้งบริการที่สะดวกสบายและน่าเชื่อถือ ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2022/202931
07 มิ.ย. 2565
Airbnb สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองท่องเที่ยว
นายกเทศมนตรีของกรุงปรากต้องการออกกฎหมายใหม่เพื่อจำกัดเรื่องการเช่าที่พักของ Airbnb เพราะตอนนี้จำนวนนักท่องเที่ยวมีมากกว่าเกินที่เมืองจะรับมือไหว รวมถึงมีการสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น ความเงียบสงบและความงามของกรุกปรากกำลังถูกรบกวนอย่างหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินพอดี ส่วนใหญ่การมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาในเมืองมักจะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลในทางบวกไปด้วย แต่ถ้าหากว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมากเกินไปก็สามารถสร้างปัญหาให้กับคนในท้องถิ่นได้ เมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วโลกมักจะใช้จำนวนของห้องพักในโรงแรมเป็นตัวควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ให้มีจำนวนมากจนเกินไป แต่เมื่อมีการจองที่พักอย่าง Airbnb เกิดขึ้น ก็ดูเหมือนว่าวิธีการเดิม ๆ ไม่สามารถจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจากตอนนี้บรรดาเจ้าของที่พักระยะยาวอย่างอพาร์ทเม้นท์ต่าง ๆ กลับเปลี่ยนไปตอบรับการเช่าจาก Airbnb ส่งผลให้ราคาที่พักระยะยาวของคนในเมืองพุ่งสูงขึ้นเกินความเป็นจริง เพราะการเช่าระยะสั้นเจ้าของทำเงินได้มากกว่า แต่คนในท้องถิ่นได้รับความเดือดร้อน และด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงมากทำให้ค่าครองชีพของเมืองสูงขึ้นเกินความเป็นจริงตามไปด้วย เรื่องนี้ทำให้รัฐบาลต้องหันมาให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา โดยอาจจะต้องเปลี่ยนกฎหมายให้สามารถรับมือการเข้ามาของนักท่องเที่ยวผ่านทาง Airbnb ให้ได้ อาจจะต้องควบคุมเจ้าของอาคารชุดต่าง ๆ ไม่ให้ทำการให้เช่าระยะสั้น หรืออาจจะต้องระบุว่า Airbnb ใช้ได้กับห้องในบ้านเท่านั้น ปรากฏไม่ใช่เมืองเดียวที่กำลังมีปัญหาเรื่องนี้ อัมสเตอร์ดัม, บาร์เซโลนา, เบอร์ลิน, บอร์โด, บรัสเซลส์, คราคูฟ, มิวนิค, ปารีส, วาเลนเซีย และเวียนนา ก็กำลังเจอกับปัญหาลักษณะคล้าย ๆ กันนี้เช่นกัน ที่มา : https://www.theguardian.com/environment/2020/feb/01/overwhelmed-prague-tries-to-limit-airbnb-to-curb-tourism https://www.smartsme.co.th/content/232552
06 มิ.ย. 2565