โทรศัพท์ 1358

Business Model Canvas คืออะไร ต่างจาก Business Plan อย่างไร?
Business Model Canvas คืออะไร ต่างจาก Business Plan อย่างไร?
Business Model Canvas คืออะไร ต่างจาก Business Plan อย่างไร? Business Model Canvas คือ การอธิบายองค์ประกอบของธุรกิจซึ่งมี 9 ส่วน ในแบบที่เรียบง่ายบนหน้ากระดาษเพียงแผ่นเดียว เพื่อให้ทุกคน่ายทั้งภายในและภายนอกองค์กรสามารถสื่อถึงสิ่งเดียวกันได้อย่างตรงประเด็น เข้าใจง่าย และ นำไปใช้งานได้ทันที นอกจากจะทำให้การสื่อสารชัดเจนแล้ว จุดเด่นของ BMC คือ ทำให้เจ้าของกิจการและผู้บริหารสามารถเห็นภาพรวมของบริษัทเพื่อจะปรับจุดอ่อนหรือเสริมจุดแข็งรวมไปถึงการปรับกลยุทธ์ของบริษัทได้ง่ายและรวดเร็วอีกด้วย องค์ประกอบทั้ง 9 ของ Business Model Canvas ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบที่เชื่องโยงกันตามภาพด้านล่างคือ ลูกค้า (Customer Segments—CS) ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ คุณค่า (Value Propositions—VP) จุดขายของสินค้า หรือ บริการนั้น ช่องทาง (Channels—CH) วิธีในการสื่อสารไปถึงลูกค้า ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships—CR) วิธีในการรักษาลูกค้าเดิม กระแสรายได้ (Revenue Streams—RS) รายได้ของธุรกิจนี้ ทรัพยากรหลัก (Key Resources—KR) สิ่งที่ต้องมีในการดำเนินธุรกิจ กิจกรรมหลัก (Key Activities—KA) กิจกรรมที่ต้องทำเพื่อให้โมเดลธุรกิจอยู่ได้ พันธมิตรหลัก (Key Partners—KP) ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งการช่วยป้อนวัตถุดิบและการช่วยขาย โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure-C$) ต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจ ดาวโหลดแผนภาพ BMC พร้อมคู่มือการสร้างโมเดลธุรกิจได้ที่นี่ Story of Business Model Canvas ประวัติความเป็นมาของ BMCแนวคิดเรื่องนี้ ถูกคิดค้นขึ้นโดย ดร.อเล็กซานเดอร์ ออสเทอร์วัลเดอร์ มหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เขียนหนังสือชื่อ Business Model Generation ซึ่งใช้เวลากว่า 9 ปีในการวิจัยพัฒนาและนำแนวคิดนี้ไปใช้โดยมีชุมชนนักธุรกิจกว่า 470 คนจาก 45 ประเทศทั่วโลกร่วมเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วย จากการตีพิมพ์หนังสือ Business Model Generation ออกมาในปี คศ. 2010 ทำให้นักธุรกิจทั้งที่ทำกิจการมานานและเพิ่งเริ่มต้นได้เข้าใจภาพรวมของธุรกิจด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว และนำภาพที่เข้าใจไปใช้ในการปรับกลยุทธ์องค์กรให้เติบโตก้าวกระโดดและทำกำไรได้เพิ่มขึ้นมหาศาลทำให้ปัจจุบันทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับในองค์กรชั้นนำทั่วโลก ในไทยเองก็มีหลายหน่วยงานนำไปใช้งาน และหนังสือเล่มดังกล่าวได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ วีเลิร์น ในปี คศ. 2014 โดยใช้ชื่อภาษาไทยว่า คู่มือสร้างโมเดลธุรกิจ ทำไมถึงใช้คำว่า Canvas? ถ้าแปลเป็นภาษาไทยตรงตัว Business Model คือ รูปแบบธุรกิจ ซึ่งขอใช้ทับศัพท์ว่า โมเดลธุรกิจ นะคะส่วน Canvas คือ ผืนผ้าใบ ทั้งวลีนี้จึงหมายถึง การนำเอาการเขียนโมเดลธุรกิจไปใส่ไว้ในแผ่นเดียว โดยจะเป็นกระดาษเป็นผ้าใบหรือแผ่นโปสเตอร์ ก็ได้ ซึ่งทฤษฎีนี้เป็นการสื่อว่าทุกธุรกิจมีแม่แบบเดียวกัน คือองค์ประกอบ 9 ส่วนที่สำคัญในการทำธุรกิจ What is Business Model? What is the different between Business Plan and Business Model?แล้วคำว่าโมเดลธุรกิจ คืออะไร? ต่างจากแผนธุรกิจอย่างไร? Business Plan (แผนธุรกิจ) หมายถึงแผน ระยะยาว 3-5 ปี ที่กำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจทั้งหมด ซึ่งในการจะหาข้อมูลเพื่อทำออกมาเป็นแผนธุรกิจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือกว่านั้น ในขณะที่ Business Model (โมเดลธุรกิจ) หมายถึงรูปแบบการสร้างรายได้ของธุรกิจ หรือจะให้ละเอียดกว่านั้น มันคือการที่เจ้าของธุรกิจต้องตอบคำถามได้ 2 ข้อ คือ “เราหารายได้อย่างไร” และผู้ซื้อเขา “ได้อะไรไปจากเรา”ซึ่งทฤษฎี Business Model Canvas ช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นในการตอบทั้ง 2 คำถามนี้เพื่อให้เจ้าของกิจการสามารถปรับรูปแบบรายได้ หรือ โมเดลธุรกิจที่เหมาะสมกับความต้องการได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั่วโลกใช้ Business Model Canvas เพื่ออะไรบ้าง? จากผลสำรวจผู้นำไปใช้จริงแล้ว 1,300 คนจากผู้ที่ดาวโหลดแผนภาพไปใช้ทั่วโลกกว่า 5 ล้านคนในปี 2015 พบว่า ร้อยละ 36 นำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ร้อยละ 21 นำไปพัฒนาสินค้าใหม่ และ ร้อยละ 19 นำไปปรับกลยุทธ์ในองค์กร อ้างอิง
07 ธ.ค. 2561
Startup และ SME สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร
Startup และ SME สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร
สำหรับคนที่คิดจะเริ่มต้นทำธุรกิจ แต่ยังไม่เข้าใจ และเห็นภาพไม่มากพอ หลายคนสับสนว่า Startup และ SME สองอย่างนี้ต่างกันอย่างไร เรามาดูกันดีกว่าครับว่าสองธุรกิจนี้แท้จริงแล้วมีอะไรที่ต่างกัน และมีอะไรที่เหมือนกันบ้าง ติดตามกันเลยครับ วัดกันที่ขนาดเริ่มต้น หากเราวัดความแตกต่างที่ “ขนาดของกิจการ” เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ สำหรับ Start Up มักจะมีขนาดที่เล็กมาก ๆ และสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในตอนต้นจะมีน้ำหนักไปทาง “ไอเดียใหม่ ๆ” หรือสินทรัพย์ทางปัญญา ในขณะที่ SME จะมีขนาดกิจการที่ใหญ่กว่า และสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้นั่นเองครับ วัดกันที่แนวคิดเริ่มต้นการทำธุรกิจ สำหรับ Start Up มักจะเริ่มต้นธุรกิจด้วยแนวคิดที่อยากจะแก้ไขปัญหาอะไรซักอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาการเรียกรถแท็กซี่ ที่เรียกใช้บริการค่อนข้างยาก และมีปัญหามากมาย ก็ทำให้เกิด Application บนมือถือ ที่เกี่ยวกับการเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านมือถือ ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ได้หลายประเทศอีกด้วย ในขณะที่ SME อาจเริ่มต้นทำธุรกิจจากสินค้าที่มีอยู่แล้ว แต่อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้มีผู้ผลิตเข้ามาผลิตสินค้า หรือบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ยังไม่เพียงพอ วัดกันที่เทคโนโลยี หากเราวัดความแตกต่างกันที่เทคโนโลยี สำหรับ Start Up ส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ หากเป็น Start Up ที่เกี่ยวกับการทำ Application บนมือถือ เพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่างของลูกค้า ก็ต้องใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้า หรือแม้แต่งานที่เป็น “นวัตกรรม” ใหม่ ๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ในขณะที่ SME จะใช้เทคโนโลยีที่ตอบสนองกับกระบวนการผลิตเดิม ปรับปรุงให้ดีขึ้น อาจเป็นไอเดียที่ไม่ใหม่มาก แต่ช่วยให้สายการผลิต หรือกระบวนการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น เป็นต้นอย่างไรก็ตามทั้ง Start Up และ SME ก็มีความเหมือนกันตรงที่เป็นการทำกิจการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และต้องคอยปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคเหมือน ๆ กัน กระแสการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหนหากไม่รู้จัก “ปรับตัว” ก็มีโอกาสที่จะล้มหายจากไปได้เหมือนกันนะครับ อ้างอิง By Krungsri Guru
05 ต.ค. 2561